นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแนวทางการบริหารและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัส ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ ในการพิจารณาจ่ายโบนัส ให้คำนวณจากกำไรที่เกิดจากผลการดำเนินงานประจำปี โดยห้ามนำรายได้ต่อไปนี้ไปจัดสรรโบนัส 1.กำไรจากการเอาประกัน 2 ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เงินกู้ และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของรัฐ (ยกเว้นกรณีรัฐวิสาหกิจสถาบันการเงิน 3.กำไรจากการขายที่ดิน อาคาร โรงงาน สิ่งปลุกสร้าง รวมถึงส่วนควบ 4. กำไรจากการตีราคาทรัพย์สินใหม่ 5.เงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาล ยกเว้นเงินอุดหนุนตามระบบ PSO และ 6. กำไรหรือขาดทุนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินตรา
สำหรับกำไรที่จะนำไปจ่ายโบนัสนั้น ได้กำหนดอัตราการจ่ายโบนัสกรรมการตามผลกำไรสุทธิของบริษัทในเครือว่า ถ้ากรณีมีกำไรสุทธิไม่เกิน 100 ล้านบาท ให้ได้รับโบนัส 3% ของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกินคนละ 6 หมื่นบาท และให้จัดสรรเป็นขั้นบันไดตามลำดับจนถึงกรณีมีกำไรสุทธิมากกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท แต่ไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาท กรรมการจะได้รับโบนัสคนละไม่เกิน 1.3 แสนบาท นอกจากนี้ ยังพิจารณาถึงหลักเกณฑ์กรรมการกรณีขาดการประชุมมากกว่า 3 เดือนแต่ไม่เกิน 6 เดือน ให้จ่ายโบนัสลดลง 25% แต่หากขาดประชุมเกิน 9 เดือน ให้จ่ายโบนัสลดลง 75%
ส่วนหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานให้จ่ายในอัตราไม่เกิน 9% ของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน
ปัจจุบันมีบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจมีจำนวน 158 แห่ง รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นมีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ 23 แห่ง แบ่งเป็นบริษัท 117 แห่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยฯ 41 แห่ง
จากข้อกำหนดดังกล่าว มีบริษัทที่เข้าเกณฑ์การจ่ายโบนัสในหลักการดังกล่าว 9 ราย โดยการจัดทำหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจมีแนวปฎิบัติในการจัดสรรโบนัส กรรมการ พนักงาน และลูกจ้างที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน