พาณิชย์ เผย"ธุรกิจร้านขายยา-เวชภัณฑ์-เครื่องมือแพทย์"เป็นธุรกิจติดดาว หลังปี 59-60 โตก้าวกระโดด

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 10, 2018 11:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยผลวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า ธุรกิจร้านขายยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์เติบโตอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นธุรกิจติดดาวจากปี 59 มาถึงปี 60 มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 53.88% ประมาณการรายได้รวมปี 2560 กว่า 590,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีธุรกิจกลุ่มนี้จำนวน 8,690 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนสูงถึง 56,632 ล้านบาท เป็นผลมาจากนโยบาย Medical Hub และตอบสนองเทรนด์ดูแลสุขภาพ การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย รวมไปถึงนโยบายสวัสดิการภาครัฐที่ขยายไปยังกลุ่มร้านขายยา ซึ่งจะเป็นตัวเร่งการขยายตัวของธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น

"ระหว่างปี 2558-2560 มีจำนวนนิติบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจที่น่าสนใจและจับตามองมากที่สุดคือ ธุรกิจร้านขายยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ ที่ปัจจุบันมีนิติบุคคลคงอยู่จำนวน 8,690 ราย แม้จำนวนนิติบุคคลอาจจะดูไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดเจนว่าอัตราการจัดตั้งธุรกิจในกลุ่มร้านขายยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด" นางกุลณี กล่าว

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ในปี 2558 มีการจัดตั้งธุรกิจดังกล่าวจำนวน 702 ราย, ปี 2559 จำนวน 761 ราย เพิ่มขึ้น 8.40% ปี 2560 จำนวน 1,171 ราย เพิ่มขึ้น 53.88% และปี 2561 มีนิติบุคคลที่จัดตั้งธุรกิจระหว่างเดือน ม.ค-ก.พ. จำนวน 175 ราย เพิ่มขึ้น 23.24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 นอกจากนี้หากพิจารณาถึงทุนจดทะเบียนของธุรกิจกลุ่มนี้พบว่า มีจำนวนรวมทั้งหมดสูงถึง 56,632 ล้านบาท โดยเกือบ 80% เป็นธุรกิจที่จัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัด และกว่า 90% มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครและเขตเมืองที่มีความสอดคล้องกับแหล่งชุมชน โรงพยาบาล และคลินิกรักษาโรค

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจร้านขายยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ คาดว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลที่มียุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ซึ่งไทยมีความโดดเด่นด้านธุรกิจบริการสุขภาพและมีชื่อเสียงในระดับโลกอยู่แล้ว ประกอบกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) มากขึ้น ทั้งด้านการเข้ามารักษาโรค และการผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงรัฐบาลได้สนับสนุนให้บุคคลธรรมดา

ทั้งนี้มีการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้เข้าสู่ระบบนิติบุคคลก็นับเป็นปัจจัยที่เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนมากขึ้น มากไปกว่านั้นปัจจุบันเทรนด์การดูแลสุขภาพและความงามยังคงเป็นกระแสที่นิยมและยังมีหลายประเทศที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) รวมทั้งประเทศไทยที่ปัจจุบันมีมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจร้านขายยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์เติบโตพร้อมสร้างให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกัน ทั้งนี้ในอนาคตนอกจากธุรกิจร้านขายยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่เป็นดาวรุ่งแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพประเภทอื่น เช่น สปา กิจการดูแลผู้สูงอายุ บริการเสริมความงาม และเครื่องสำอางจะได้รับประโยชน์จากการเป็น Medical Hub ของไทยอีกเช่นกัน

"การเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาให้ประเทศไทยมีธุรกิจบริการด้านสุขภาพดียิ่งขึ้นมุ่งไปสู่การเป็น Medical Hub ตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศที่เติบโตควบคู่กันไป แต่ยังมีผลดีเกี่ยวโยงไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยด้วย จากการที่รัฐบาลได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ในการใช้วงเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อซื้อสินค้าในร้านขายยาที่เข้าร่วมเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐได้ ดังนั้นการที่จำนวนร้านขายยามีปริมาณเพิ่มขึ้นก็จะช่วยอำนวยความสะดวกและสร้างทางเลือกให้กับผู้มีรายได้น้อยในการดูแลสุขภาพด้วย (ปัจจุบันมีร้านขายยาที่สมัครเข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐแล้วจำนวน 726 แห่งทั่วประเทศ)" นางกุลณี กล่าว

แท็ก ข้อมูล  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ