ศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย ระบุอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน พ.ค.2561 เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1.49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 16 เดือน (นับตั้งแต่ ก.พ.60) โดยเป็นผลจากราคาพลังงานในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น 7.68% YoY ส่วนหนึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด หลังราคาน้ำมันดิบโลกเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นใกล้ระดับ 80 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล หากในช่วงที่เหลือของปีนี้ (มิ.ย.-ธ.ค.) ราคาน้ำมันดิบโลกยังประคองตัวเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 70-80 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา และค่าเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับระดับปัจจุบันก็ยังจะเป็นปัจจัยส่งผลต่อราคาพลังงานในประเทศให้เพิ่มขึ้น แต่ด้วยฐานที่สูงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน (ไตรมาส 4/2560) จากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและการทยอยปรับขึ้นของราคาพลังงานในประเทศตามราคาน้ำมันดิบโลกที่ทยอยเร่งตัวขึ้น รวมถึงการพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรของภาครัฐก็น่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline inflation) ในช่วงที่เหลือของปี 2561 ยังขยายตัวเป็นบวก แต่เป็นในอัตราที่ชะลอลงจากเดือน พ.ค.61
โดยราคาพลังงานในประเทศคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงช่วงครึ่งหลังของปี 2561 จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนในประเทศทั้งทางตรงผ่านการบริโภคพลังงาน เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกภายในประเทศ และทางอ้อมผ่านระดับราคาสินค้าอื่นๆ ที่คาดว่าจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ด้วยภาวะเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดีต่อเนื่องก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างรายได้ของครัวเรือน เข้ามาช่วยชดเชยผลกระทบจากระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้นได้
ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจที่โตดีกว่าคาดประกอบกับเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงาน โดยคาดว่า ปี 2561 เงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1.0-4.0% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี 2561
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2561 จะไม่หลุดกรอบบนที่ 1.5% และยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปีนี้ที่ 1.1%