สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน พ.ค.61 โดยการส่งออกมีมูลค่า 22,256 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว11.40% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 21,053 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.72% ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1,203 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.61) การส่งออกมีมูลค่า 104,031 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.55% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 102,154 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 16.60% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,877 ล้านดอลลาร์
โดยกระทรวงพาณิชย์มั่นใจการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% อย่างแน่นอน หลังจากช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเกิน 10%
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสนค. เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนพ.ค.61 ที่ขยายตัวได้ 11.44% เป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 โดยการส่งออกยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกตลาดหลัก ทั้งสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.9% สหภาพยุโรป เพิ่มขึ้น 10% และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 11.6% ขณะที่การส่งออกไปตลาดศักยภาพยังขยายตัวได้ในระดับ 2 หลัก เช่น จีน เพิ่มขึ้น 14.8% CLMV เพิ่มขึ้น 17.3% และเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 16.9%
ทั้งนี้ สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวในระดับสูง เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เม็ดพลาสติก, เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสำเร็จรูป ส่วนการส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวเล็กน้อย โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี เช่น ข้าว, ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป และทูน่ากระป๋อง
ผู้อำนวยการ สนค. ยังกล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกในปี 61 โดยคาดว่าจะยังขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 8% ที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้อย่างแน่นอน และมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ในระดับ 9% ซึ่งการขยายตัวในระดับนี้การส่งออกในแต่ละเดือนที่เหลือจะต้องทำให้ได้มูลค่า 22,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ สนค.จะมีการประเมินเป้าหมายการส่งออกสำหรับปีนี้อีกครั้งในเดือนหน้า
"เรามั่นใจเกิน 80% ว่าส่งออกจะได้ตามเป้าที่ 8% เบาใจว่าการส่งออกไทยยังไปได้ดี...สนค.ขอรอดูตัวเลขอีก 1 เดือนว่าจะมีการปรับคาดการณ์ส่งออกปีนี้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งต้องขึ้นกับระดับนโยบายด้วย แต่เรามองว่า 9% เฉลี่ยส่งออกที่มูลค่า 22,000 ล้านดอลลาร์ในแต่ละเดือนที่เหลือนั้น อยู่ในวิสัยที่ทำได้" น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
พร้อมระบุว่า การส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 61 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีและมีการกระจายตัวมากขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แม้ในระยะสั้นอาจต้องเผชิญกับความผันผวนจากมาตรการการค้าของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวถึงความเสี่ยงจากกรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนว่า อาจมีผลกระทบทำให้การค้าโลกชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ในส่วนของการส่งออกสินค้าไทยในภาพรวมยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากสินค้าที่ไทยอยู่ใน supply chain
ทั้งนี้ ในส่วนของสินค้าเหล็ก และอลูมิเนียมจากไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นนั้น ยังอยู่ในขั้นตอนที่ฝ่ายไทยกำลังเจรจาเพื่อขอยกเว้นเป็นรายประเทศ หรือรายบริษัท ในขณะที่สินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนนั้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงมี.ค.62 ซึ่งในระหว่างนี้ไทยต้องเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงต่อสหรัฐฯ และเห็นว่าผู้ส่งออกไทยอาจจำเป็นต้องพิจารณาหาตลาดส่งออกใหม่ไว้รองรับ
อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์หน้ากระทรวงพาณิชย์ จะเชิญภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกมาหารือร่วมกัน ทั้งในส่วนของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ สมาคมธนาคารไทย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันประเมินสถานการณ์และผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ส่วนทิศทางราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยตลาดคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันอาจพิจารณาปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยอุปทานน้ำมันที่ลดลง อีกทั้งปริมาณน้ำมันของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันให้สูงขึ้นในระยะยาว และจะส่งผลดีต่อราคาสินค้าเกษตร และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันของไทยให้ปรับสูงขึ้นตาม
สำหรับสถานการณ์เงินบาทที่เริ่มปรับอ่อนค่าลงนั้น ถือเป็นโอกาสดีต่อผู้ส่งออกของไทยในการเร่งผลักดันสินค้า และช่วยทำให้รายได้การส่งออกในรูปเงินบาทเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกไทยยังจำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์และทำประกันความเสี่ยง เพื่อรองรับความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนและสถานการณ์การค้าที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
"เงินบาทที่อ่อนค่าลง จะส่งผลดีต่อผู้ส่งออกสินค้าเกษตร และอาหาร ที่จะมีรายได้ในรูปของเงินบาทเพิ่มขึ้น ดังนั้นถ้าเร่งส่งออก หรือทำสัญญาในช่วงที่บาทอ่อนค่า ก็จะเป็นอานิสงส์ดี" ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ