(เพิ่มเติม) นายกฯ พบภาคเอกชนชั้นนำสหราชอาณาจักร ยันสนใจลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่องโดยเฉพาะใน EEC

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 22, 2018 10:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ให้กับผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนำของสหราชอาณาจักร ได้แก่ บริษัท Arup บริษัท HSBC และบริษัท Prudential ในระหว่างการเดินทางสหราชอาณาจักร ณ โรงแรม Royal Lancaster กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเข้ามาลงทุนของบริษัทต่างชาติอย่างเท่าเทียม โปร่งใส ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน และเร่งขับเคลื่อนการลงทุนให้เกิดผลรูปธรรม รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเสมอภาคและขอให้มั่นใจว่าการลงทุนจะเกิดความต่อเนื่อง เพราะมีแผนยุทธศาสตร์ชาติรองรับ

นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนะทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศในอนาคตอันใกล้ โดยมีโครงการการลงทุนสำคัญทั้งด้าน โครงสร้างพื้นฐาน น้ำ บก อากาศ อุตสาหกรรมเป้าหมายทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงขอให้บริษัทเอกชนสหราชอาณาจักรได้เร่งตัดสินใจแผนการลงทุนในพื้นที่ EEC เพื่อเดินหน้าโครงการให้บรรลุเป้าหมายต่อไป

สำหรับบริษัทที่แสดงความสนใจ ได้แก่ บริษัท ARUP ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยเกือบ 20 ปี โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ผู้บริหารฯ ได้แสดงความประสงค์ที่จะลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างใน EEC และเห็นว่ารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายมาถูกทาง และถูกเวลาที่จะขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจในทิศทางนี้ โดยบริษัทจะได้ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อเดินหน้าโครงการการลงทุนต่อไป

บริษัท HSBC เป็นบริษัทด้านการเงินและการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยผู้บริหารฯ ได้มีความประสงค์จะร่วมมือ PPP ในโครงการในเขต EEC ด้านการเงิน รวมทั้งโครงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับด้านเงินทุน และการเงินในประเทศไทยด้วย โดยจะพิจารณาเชื่อมโยงเครือข่ายของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก ในการเชื่อมต่อการลงทุน ตามที่ไทยเสนอ

บริษัท Prudential มีความสนใจที่จะพัฒนาภาคธุรกิจประกันภัย การพัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยี ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าจะช่วยสนับสนุนการปฏิรูปประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยผู้บริหารบริษัทฯ แจ้งว่าได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลังของไทยในโครงการดังกล่าว รวมทั้งสนใจในโครงการด้านการศึกษาด้วย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา Thailand Business Forum ในหัวข้อ "Transforming Thailand" ณ โรงแรม Landmark กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับมิตรภาพระหว่างไทย และสหราชอาณาจักร ซึ่งมีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และใกล้ชิดทุกระดับ ตั้งแต่ 400 กว่าปีก่อน ปัจจุบัน มิติของความสำคัญด้านการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวก็เป็นไปอย่างใกล้ชิด

ด้านการค้าระหว่างประเทศ สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าอันดับที่ 18 ของไทย และเป็นคู่ค้า หลักอันดับที่ 2 จากยุโรป โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 5,240 ล้านปอนด์ หรือ 225,833 ล้านบาท สหราชอาณาจักรเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 18 ของไทย และไทยนำเข้าสินค้าจากสหราชอาณาเป็นลำดับที่ 21 ของการนำเข้าทั้งหมด

ด้านการลงทุน หลายบริษัทที่เป็นแบรนด์ดังของสหราชอาณาจักรไปลงทุนตั้งฐานการผลิตสำคัญในประเทศไทย ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก โดยใน 10 ปีที่ผ่าน มีการลงทุนจากสหราชอาณาจักรที่ได้รับอนุมัติให้รับการส่งเสริมการลงทุน 216 โครงการ มูลค่ารวม 735 ล้านปอนด์ หรือ 31,650 ล้านบาท ล่าสุดในปี 2017 สหราชอาณาจักรลงทุนในไทยเป็นอันดับ 3 ของการลงทุนจากยุโรป

ด้านการท่องเที่ยว ปีที่ผ่านมา มีคนไทยเดินทางมาเที่ยวสหราชอาณาจักรจำนวน 171,000 คน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรเดินทางไปยังประเทศไทยจำนวนถึง 1,003,000 คน ทั้งนี้คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีได้ชักชวนให้มีการลงทุนในประเทศไทย โดยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปรับตัวดีขึ้นมาโดยตลอด ในไตรมาสแรกของปี 2018 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 4.8 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยรัฐบาลยืนยันที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควบคู่ไปกับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานครั้งสำคัญที่สุดปรับปรุงเส้นทางคมนาคม และการขนส่ง รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน และระบบขนส่งสาธารณะแบบราง รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่มีความจำเป็นต่อการรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจน รัฐบาลได้ดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายบนพื้นฐานของนโยบายเศรษฐกิจเสรี เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการมีส่วนร่วมของนานาชาติ นายกรัฐมนตรีจึงขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนให้นักธุรกิจเชื่อมั่น และพิจารณาประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อประโยชน์ในธุรกิจการค้า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรให้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ นายกรับมนตรี ได้เยี่ยมชมและดูงานด้านอาชีวศึกษาของบริษัท เพียร์สัน ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจด้านการศึกษาชั้นนำของโลก โดย Pearson มีนโยบายแน่ชัดที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ EEC และ Thailand 4.0 โดย Pearson ได้ลงนาม MOU กับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาของไทย เพื่อพัฒนาอาชีวศึกษาไทย ส่งเสริมการพัฒนาการเรียนการสอน รวมทั้ง จะร่วมกับ EEC เพื่อพัฒนาคนให้กับอุตสาหกรรมใน EEC ด้วย

ในการนี้ผู้บริหารของ Pearson ได้บรรยายถึง Model การทำงานของบริษัทที่จะนำไปปฏิบัติในไทยเพื่อผลิตบุคลากรให้แก่ EEC โดยโมเดลดังกล่าวเป็นการทำงานสี่เส้าระหว่างรัฐบาล, Pearson, ภาคอุตสาหกรรม และนักเรียน ให้สอดรับกัน ซึ่งโมเดลนี้ประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักร สามารถผลิตบุคลากรและกำลังคนให้กับประเทศในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่น บริษัท Rolls Roys และ British Telecom และโมเดลนี้จะสร้างกำลังคนให้กับ EEC ของไทยต่อไปด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ