นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยที่จะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินในการลงทุนในขณะนั้น โดยการลงทุนของบริษัทยังคงมีอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโต จากปัจจุบันที่ส่วนใหญ่จะใช้เงินทุนมาจากเงินกู้สถาบันการเงินสัดส่วน 65%
ทั้งนี้ บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาในปี 62 ไว้ทั้งหมดแล้ว 4 แปลง มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น ที่ดินในกรุงเทพฯ 4 แปลง และที่ดินในพัทยา 1 แปลง พร้อมกับตั้งเป้ารายได้ในปี 62 แตะ 1 พันล้านบาท
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังของปี 61 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 พันล้านบาท ทั้งในทำเลใจกลางกรุงเทพฯและเมืองพัทยา เป็นโครงการในรูปแบบคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัยและลงทุน โดยไตรมาส 3/61 จะเปิด 2 โครงการใหม่ คือ โครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 39 (Walden Sukhumvit 39) มูลค่า 950 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 116 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.6 ล้านบาท และโครงการ วาลเด้น สุขุวิท 31 มูลค่า 800 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.6 ล้านบาท
"โครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 39 และ 31 จะมีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากพัทยา โดยมีทั้งรูปแบบซื้อเพื่อลงทุนและซื้อเพื่ออาศัย แต่จะเน้นไปที่การลงทุนเป็นหลัก โดยบริษัทมีการบริหารจัดการการเช่าและอำนวยความสะดวกเรื่องการบำรุงรักษาห้องให้ผ่านบริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด พร้อมอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน และคาดว่าจะมีกำไรจาก Capital Gain 3-5% ในทุกๆปี"นายชนินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดโครงการในพัทยาเหนือ มูลค่า 1.25 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/61 โดยยังคงยึดโมเดลการลงทุนแบบการันตีค่าเช่า โดยมีเชนโรงแรมใหม่ที่เป็นพันธมิตรที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐเป็นที่ยอมรับระดับโลกเข้ามาเป็นผู้บริหารและจัดการเช่า โดยที่กลยุทธ์การขายของบริษัทในปีนี้จะเน้นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีลูกค้าต่างชาติได้ให้ความสนใจเข้ามาซื้อโครงการเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะโครงการเมืองพัทยา ทำให้สัดส่วนยอดขายต่างชาติเพิ่มขึ้นมาเป็น 40% และลูกค้าชาวไทยลดลงมาเป็น 60% จากเดิมที่ 70-80%
ขณะที่ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทำได้แล้ว 1.9 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 63% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 3 พันล้านบาท จากการเปิดขายโครงการใหม่ 2 โครงการที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม วาลเด้น อโศก มูลค่า 700 ล้านบาท ขายได้แล้ว 80% เหลือเพียง 10 ยูนิต จากทั้งหมด 83 ยูนิต และโครงการแนวราบ LE ROW เพลินจิต มูลค่า 250 ล้านบาท ซึ่งปิดการขายไปแล้ว
อีกทั้งยังมียอดขายที่มาจากโครงการอื่นๆในพัทยาที่อยู่ระหว่างการขายเข้ามาเสริม เช่น โครงการครอสทู โอเชี่ยนเฟียร์ และโครงการวินด์แฮม เวสเทิร์น แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา เป็นต้น
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในช่วงปลายปี 61 ไปจนถึงปี 63 ซึ่งในปีนี้จะมีการเริ่มทยอยโอนโครงการครอสทู ซีเฟียร์ เข้ามาในช่วงต้นปี และในช่วงปลายปีนี้จะมีโครงการครอสทู โอเชี่ยนเฟียร์ เข้ามาเสริม ซึ่งบริษัทคาดว่ารายได้ไนปีนี้จะอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 200-300 ล้านบาท และคาดว่าจากการเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถผลักดันให้ Backlog ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 พันล้านบาท ในช่วงสิ้นปี 61
นายชนินทร์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนมองว่ามีการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้นทุกปี ทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากโควต้าสำหรับต่างชาติสามารถขายได้อย่างรวดเร็ว
และมั่นใจว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่องไนอีกหลายปี จากความมั่นใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทำเลในกรุงเทพฯและพัทยา เพราะการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเริ่มมีความชัดเจนออกมามากขึ้น หลังเริ่มทยอยเปิดการประมูล โดยเฉพาะการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะสามารถช่วยหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาได้อีก 3-5 ปี
ส่วนตลาดอสังริมทรัพย์ในกรุงเทพฯยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริเวณ CBD ของกรุงเทพฯที่ดินเริ่มหายากและราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นสูงอย่างเนื่อง โดยที่การลงทุนพัฒนาโครงการของบริษัทในกรุงเทพฯจะเน้นไปที่โซนสุขุมวิทเป็นหลัก