นายกฯ เร่งจัดทำมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาจราจรกทม.ทั้งแผนสั้น-กลาง-ยาว เน้นใช้ระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมล้อ-ราง-เรือ

ข่าวเศรษฐกิจ Saturday August 18, 2018 17:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เมื่อวานนี้ว่าตนเองได้มีโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการด้านการจราจร ซึ่งมีปัญหากับการสัญจรไปมาของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่อื่น ๆ ด้วย ก็จะเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร มีการเยี่ยมศูนย์ควบคุมการจราจร บก. 02 แล้วก็ฟังการบรรยายสรุปจากหลายหน่วยงานด้วยกัน ของกระทรวงคมนาคมด้วย และในส่วนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็ได้พูดคุยกันถึงเรื่องการเชื่อมโยง เรื่องล้อ ราง แล้วก็เรือ เป็นเป้าหมายของเราในอนาคต ที่เราจะต้องอาศัยเวลาในการทำงาน หลายปีที่ผ่านมานั้นเราไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่ควรจะเป็น วันนี้ก็เลยต้องใช้เวลา หรือทำให้เกิดปัญหาการจราจรเพิ่มขึ้น ด้วยการเร่งสร้าง เร่งโครงการต่าง ๆ มากมายในเวลาเดียวกัน อาจจะส่งผลกระทบต่อการสัญจรไปมาของพี่น้องชาว กทม. และปริมณฑลอยู่ในปัจจุบัน ก็คงต้องช่วยกันครับขอให้อดทนไประยะหนึ่ง อีกไม่นานเราก็จะมีระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น

ปัญหาจราจรติดขัดนี้เป็นปัญหาที่สะสม ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการขยายตัวของเมือง ที่อาจจะไร้ยุทธศาสตร์ ไร้ข้อจำกัด ไม่เป็นไปตามผังเมือง หากว่าผังเมืองที่ว่านั้น เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับประชาชนไปด้วย เพราะฉะนั้นผังเมืองที่ออกมา บางครั้งอาจจะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะว่าประชาชนไม่ยินยอม ในการที่จะจัดทำผังเมืองใหม่ ก็เลยเกิดปัญหาซ้ำซ้อนตามกันมาอีก ในขณะที่มีการเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางเมือง เพื่อประกอบกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ทั้งทำงาน ส่งลูกหลาน ติดต่อธุรกิจ ท่องเที่ยว ของคนกว่า 15 ล้านคน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่จำกัด 1,500 กว่าตารางกิโลเมตร ถ้าคำนวณกันเป็นความหนาแน่นก็จะมากกว่า 9,500 คนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร ก็ถือว่าแออัดมาก และผิวการจราจรก็ไม่สามารถรองรับได้อย่างสมดุล ในปี 2560 นั้นมีจำนวนรถยนต์สะสม กว่า 6.6 ล้านคัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4% ต่อปี ถ้าเราจะมองให้เห็นภาพ ก็คือมีรถจดทะเบียนใหม่ทุกวัน ๆ ละ 700 คัน และรถจักรยานยนต์ 400 คัน ในขณะที่การสัญจรของรถ ต้องอาศัยถนน มีผิวการจราจรที่สร้างเพิ่มขึ้นได้ยาก แพง แล้วก็นาน แล้วก็ติดที่ของเอกชนเกือบทั้งหมด

ปัจจุบันนั้น กทม. มีถนนประมาณ 4,300 กิโลเมตร เป็นถนนสายหลักเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น หากเทียบ พื้นที่ถนนเป็นร้อยละแล้ว กรุงเทพฯ มีเพียง 6.8% ในขณะที่มหานคร เมืองใหญ่ ๆ ของโลก เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มีพื้นที่ถนน 21 - 36% เพราะฉะนั้นรวมทั้งความต้องการเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาก็มากขึ้นอีก สะพานที่เรามีอยู่ในปัจจุบันก็จำนวนจำกัด เราก็มีการวางแผนจะสร้างใหม่เพิ่มขึ้น ก็สร้างไม่ได้ ก็ยังต้องฟังความคิดเห็นประชาชนอีก จากการศึกษาพบว่าในปี 2564 เราจะมีความต้องการข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 480,000 คนต่อวัน และในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 840,000 คนต่อวัน

ปัญหาสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ การเชื่อมโยงทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมต่อแนวตะวันตก – ตะวันออก ซึ่งมีปัญหาการเชื่อมโยงตรงนี้อยู่เหมือนกัน ตะวันตก - ตะวันออกของเรา แล้วทำอย่างไรจะสอดคล้องรองรับกับทางด่วนและวงแหวนต่าง ๆ ทั้งทางขึ้น - ทางลง เพื่อให้เกิดการไหลเวียน การสัญจรบนถนน ในพื้นที่ชั้นนอก - ชั้นใน ไม่ติดขัด ไม่อย่างนั้นก็ขึ้นทางด่วน ลงมาแล้วขึ้นใหม่ ก็เลยติดกันทั้งข้างบน ข้างล่าง รวมไปถึงจุดตัดรถไฟ วงเวียน และแยกไฟแดง ที่ต้องมีการคำนวณเวลาและปริมาณรถด้วย

สำหรับแนวทางแก้ปัญหานั้น ผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการก็คือ ส่งเสริมให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล แล้วหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะการผลักดันให้ระบบรางเป็นแกนหลักในการเดินทางและขนส่ง สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล นั้น ภายในปี 2575 อีก 15 ปี จะต้องเร่งลงทุนสร้างโครงข่ายรถไฟฟ้าให้ครบทั้ง 10 สาย ระยะทางรวม 464 กิโลเมตร ประกอบกับนโยบาย One Transport ที่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อ การเดินทาง ล้อ ราง เรือ แบบไร้รอยต่อให้ได้ ทั้งในเรื่องของการเชื่อมโยง ทั้งในเรื่องของการขนานกันไป เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกให้เข้าถึงบริการระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ทั้งรถ ขสมก. คิวรถตู้ วินมอเตอร์ไซค์ รถไฟฟ้า เรือด่วนเจ้าพระยา เป็นต้น

นอกจากนี้ต้องจัดทำที่จอดแล้วจร ให้กระจายตัวในพื้นที่สำคัญ ที่จะเชื่อมโยงต่อการขนส่งด้านต่าง ๆ รวมถึงมีระบบตั๋วร่วม ซึ่งก็ได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ควรต้องนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารการจราจร และการขนส่งอย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ผมก็ได้สั่งการให้ไปทำการศึกษาเพิ่มเติมในการใช้เทคโนโลยี ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมทั้งพื้นที่การจราจร มีการหารือกับนักวิจัยของมหาวิทยาลัย หรือองค์กรต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจากต่างประเทศ เพื่อนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ควบคุมการจราจร ให้มากยิ่งขึ้น จะเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ถึงจุดนั้น รัฐบาลก็ได้จัดทำมาตรการรองรับเพื่อจะแก้ปัญหาการจราจร เป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้

แผนระยะสั้น ได้แก่ การบริหารจัดการกระแสการจราจรบนท้องถนน เช่น ไฟจราจร จุดกลับรถ จุดตัดรถไฟ เหล่านี้ เป็นต้น การเข้มงวดกวดขันวินัยจราจร แล้วก็การบังคับใช้กฎหมายที่เหมาะสม ผมก็ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเร่งดำเนินการให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพิ่มมาตรฐานเรือโดยสาร เพื่อให้การสัญจรทางน้ำเป็นทางเลือกให้กับประชาชน

ปัญหาก็คือว่าเราจะต้องหาเส้นทางที่คู่ขนานกันให้ได้ ทางบก กับทางน้ำ ถ้าทางบกแน่น เราสามารถให้บริการทางน้ำคู่ขนานกันไปได้ไหม ก็ต้องไปดูคูคลอง แม่น้ำ อะไรต่าง ๆ ที่คู่ขนานไป เพื่อจะลดเวลาในการเดินทาง , ปรับหรือเพิ่มเส้นทางรถ ขสมก. ทำรถที่จะเชื่อมต่อให้มีการที่เรียกว่าฟีดเดอร์ เพื่อจะเอาคนจากตรงนี้ไปขึ้นรถไฟฟ้าให้ได้ ไม่อย่างนั้นระยะทางก็ไกลเกินไป รถไฟฟ้าก็ต้องเชื่อมต่อกับเส้นทางรถ ขสมก. ที่เราต้องปรับ หรือเพิ่มเส้นทางให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มรถโดยสารรับส่งระยะสั้นในรอบเขตพื้นที่วิกฤต และมีมาตรการเคลื่อนย้ายรถเสีย รถจอดข้างทางผิดกฎหมาย รถที่เกิดอุบัติเหตุให้ได้เร็วที่สุดเป็นต้น

แผนระยะกลาง 1 - 3 ปี นอกจากเราต้องเร่งลงทุนสร้างระบบขนส่งสาธารณะให้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เราต้องกำหนดสิทธิการผ่านในบางพื้นที่ เช่น พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ เพื่อลดปริมาณการจราจร ควบคู่ไปกับการปรับปรุงโครงข่ายการจราจร และการขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกัน เช่น การทำช่องทางบัสเลน ซึ่งบางทีก็มีปัญหาเพราะถนนเราแคบ ที่ผ่านมาก็ทำหลายเส้น ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลกวดขันการปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างเคร่งครัดด้วย และ

แผนระยะยาว 3 ปีขึ้นไป อาทิ ใช้มาตรการจำกัดสิทธิ์ มาตรการด้านการเงินในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นโครงข่ายรถไฟฟ้า ไม่ต่ำกว่า 0.2 กิโลเมตร ต่อตารางกิโลเมตร เพื่อเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การเดินทางที่ไม่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และการปลูกฝังจิตสำนึก วินัย น้ำใจการใช้รถใช้ถนน ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาจราจรได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ผมก็ได้สั่งการให้เพิ่มเส้นทางคมนาคมทางน้ำในการเดินทาง คู่ขนานไปกับถนนสายหลัก เพื่อให้ประชาชนเลือกใช้บริการได้สะดวกขึ้น บรรเทาจราจรติดขัดทางถนน ซึ่งทั้งกรมเจ้าท่า กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต้องร่วมกันดำเนินการอย่างเร่งด่วนในระยะแรก ควบคู่กันไปกับการก่อสร้าง และในเรื่องของการเตรียมการจัดหาการใช้ระบบดิจิทัลมาควบคุมการจราจรในเขตเมือง ทางด่วน เส้นทางที่แออัด ไฟเขียวไฟแดง เส้นทางอ้อมผ่านในชั่วโมงเร่งด่วน เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ก่อสร้างให้ได้โดยเร็ว ขอทำความเข้าใจกับประชาชนด้วยว่า บางครั้งการอ้อมผ่านบ้างจะดีกว่ารถติดนาน ๆ บนเส้นทางเดิม ๆ ที่เสียเวลา เสียเชื้อเพลิง เป็นต้น

นอกจากนี้ผมอยากจะขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ก่อสร้างถนน ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการลดช่องทางจราจร ให้มีการตั้งป้าย ให้สัญญาณล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เมื่อก่อสร้างไปแล้ว ตรงไหนสร้างเสร็จแล้ว ก็บีบให้เล็กลง ไม่ใช่รักษาพื้นที่ก่อสร้างมากไปตลอด จนกว่าจะสร้างเสร็จ อย่างนี้ไม่ได้ ก็ต้องค่อย ๆ ลดพื้นที่ลงไปให้ได้ตลอดระยะเวลาที่มีการก่อสร้าง ตรงไหนเสร็จ ก็รีบแก้ไขตรงนั้น เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุด้วย ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ในส่วนของตนในการเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ผู้ใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ต้องมีวินัย คิดถึงเพื่อนร่วมทางให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม เป็นต้นมา กรุงเทพมหานครได้เปิดทดลองเดินเรือเส้นทางใหม่ เพื่อจะเชื่อมโยงระบบคมนาคมทางน้ำกับโครงข่ายสาธารณะอื่น ๆ ตามนโยบาย ล้อ ราง เรือ ตั้งแต่ท่าเรือสะพานตากสิน-เพชรเกษม (บางหว้า) คลองภาษีเจริญ ถึงท่าเรือวัดกำแพงบางจาก คลองบางกอกใหญ่ ในระยะทดลองนี้ เป็นการบริการประชาชนโดยไม่เก็บค่าโดยสาร ในทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.00 น. โดยเรือจะออกทุก 30 นาที มีท่าเรือที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS บางหว้า และจุดจอดรถโดยสารประจำทาง ซึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นย่านท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ตลาดคลองบางหลวง บ้านศิลปิน และชุมชนร้านค้าโบราณเป็นต้น

ในการทดลองใช้เส้นทางเดินเรือดังกล่าวของ กทม. ผมได้เห็นศักยภาพในการพัฒนาตามโครงการฟื้นวิถีชีวิตชุมชน ผ่านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์สมัยธนบุรี ชุมชนคลองบางหลวง ที่สามารถนำไปสู่การเป็นต้นแบบของเขตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมได้ในอนาคต ด้วยการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว การเชื่อมต่อของรถ ราง เรือ ที่จะช่วยฟื้นวิถีชีวิตและกระตุ้นเศรษฐกิจคลองบางหลวง ย่านฝั่งธน ในรูปแบบการส่งเสริม Startup ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชุมชน นอกเหนือจากเขตบางรัก ที่ในปัจจุบันเริ่มมี Boutique Hotel ในย่านบ้านขุนน้ำขุนนาง คลองบางหลวง หรือการตั้งร้านอาหาร ตลาดน้ำชุมชน เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ