(เพิ่มเติม) พาณิชย์ เผย ส.ค.61 ส่งออกโต 6.68% จากตลาดคาดโต 4.5-4.75% มูลค่า 22,794 ล้านเหรียญฯสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 21, 2018 12:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน ส.ค.61 ระบุว่า การส่งออกมีมูลค่า 22,794.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 6.68% สูงกว่าตลาดคาดว่าจะขยายตัว 4.5-4.75% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 23,382.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 22.8% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 588 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ มูลค่าส่งออกในเดือน ส.ค.61 ที่ 22,794 ล้านเหรียญฯ ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรกปี 61 (ม.ค.-ส.ค.61) มีมูลค่า 169,030.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 10.03% ด้านการนำเข้ามีมูลค่า 166,678.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15.89% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 2,351 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนส.ค.61 ขยายตัวได้ 6.68% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 ที่มูลค่า 22,794 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) สามารถขยายตัวได้ในระดับสูง ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ ในเดือนนี้กลับมาเป็นบวกเล็กน้อยที่ 0.6% จากเดือนก่อนที่ติดลบ, ตลาดยุโรป ลดลง 4.3%, ตลาดจีน ขยายตัว 2.3% และตลาดญี่ปุ่น ขยายตัว 14.6%

สำหรับการส่งออกสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม ขยายตัว 5.8% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขณะที่การส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอตุสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.1% โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ ผัก ผลไม้สดแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องดื่ม และข้าว

"ตอนนี้ตลาดเอเชียถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และเป็นตลาดใหญ่ของไทย แนวโน้มนี้ก็จะขยายไปมากขึ้นในปีถัดๆ ไป ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งขยายตลาด รวมทั้งจัดทำกลยุทธ์ในการขยายตลาดเอเชียให้มากขึ้น ซึ่งยุทธศาสตร์การค้าการส่งออกในเอเชียนั้น จะต้องมองให้เป็นภาพเดียวกัน" น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว

อย่างไรก็ดี สำหรับการนำเข้าในเดือน ส.ค.ที่ขยายตัวสูงถึง 22.8% คิดเป็นมูลค่า 23,382 ล้านดอลลาร์นั้น เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าในกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 37.9% และการนำเข้าทองคำที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลง ซึ่งหากหักการนำเข้าในกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง และทองคำแล้ว การนำเข้าในเดือน ส.ค.จะขยายตัวเพียง 7% เท่านั้น

น.ส.พิมพ์ชนก ยังกล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกในปี 61 ว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะขยายตัวได้ถึง 9% ที่มูลค่าประมาณ 2.57 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ทั้งปีที่ 8% เนื่องจากการส่งออกยังมีสัญญาณเป็นบวก เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ยังขยายตัวต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออก และดัชนีคาดการณ์ความสามารถในการแข่งขัน ไตรมาส 4/2561 ยังสูงกว่าระดับปกติที่ 50 ซึ่งสะท้อนว่าผู้ส่งออกมีความเชื่อมั่นว่าการส่งออกของไทยจะยังขยายตัว แม้จะมีความกังวลต่อเสถียรภาพนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ และความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่บ้าง ซึ่งการส่งออกของไทยที่กระจายตัวไปยังตลาดใหม่ๆ และมีศักยภาพในการขยายตลาดที่มากขึ้นในอนาคต จะช่วยลดทอนความเสี่ยง และผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวลงได้

"เป้า 8% เป็นไปได้แน่นอน ซึ่งทั้งปีอาจโตได้ถึง 9% ไม่น่ามีปัญหา....ในภาพรวมเรามั่นใจว่าการส่งออกยังไปได้ดี เศรษฐกิจข้างในของไทยรองรับการเปลี่ยนแปลงของภายนอกได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งจากตัวดัชนีชี้วัดต่างๆ ของไทยถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง" ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ

ส่วนสถานการณ์เงินบาทที่กลับมาแข็งค่าขึ้นนั้น มองว่าเป็นผลจากที่นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทย จึงนำเงินเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และจากที่ได้มีการหารือกับนักลงทุนต่างประเทศในหลายบริษัท เช่น จีน สหรัฐ และสหภาพยุโรป ได้เริ่มหันมาสนใจการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยมองว่าประเทศไทยมีเสถียรภาพมากกว่าประเทศอื่นๆ ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่มีเป้าหมายอุตสาหกรรมชัดเจนที่จะดึงดูดการลงทุนของต่างชาติเข้ามาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และที่สำคัญคือโรดแมปการเลือกตั้งที่ชัดเจน จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและนำเงินเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

"ปัจจัยภายในประเทศคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ที่ห่วงคือปัจจัยต่างประเทศ เรื่องความไม่มีเสถียรภาพในระดับมหภาค และเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งก็อาจกระทบต่อรายได้การส่งออกสินค้าในกลุ่มเกษตร และอาหาร ทาง สนค.จึงอยากให้ผู้ประกอบการใช้เงินสกุลอื่นๆ ในการทำการค้าระหว่างประเทศที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐบ้าง เช่น เงินหยวน หรือการใช้สกุลเงินบาทกับกลุ่ม CLMV รวมทั้งทำประกันความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทจากปัจจัยภายนอกด้วย" ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ