นายกฯ เผยการพิจารณาเก็บเงินจากบุหรี่เข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพยังไม่เข้าครม./ขอทุกคนช่วยกู้ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday October 2, 2018 16:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.จัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยงานบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยให้เก็บเงินจากบุหรี่อีกซองละ 2 บาท ให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นเงินปีละ 3,000 ล้านบาท ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพราะยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ส่วนกรณีปรากฏคลิปเจ้าหน้าที่ระงับเหตุสนามบินดอนเมืองทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวชาวจีน นายกฯ ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์การท่องเที่ยว โดยต้องไม่เผยแพร่คลิปในโซเชียล เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ยืนยันว่าการท่องเที่ยวของไทยยังเป็นปกติ แม้จะมีนักท่องเที่ยวลดลงบ้างแต่ไม่มากนัก โดยเป็นผลมาจากปัจจัยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะด้านความมั่นคง ความปลอดภัย และภัยพิบัติ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของการท่องเที่ยว รวมถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจภายในประเทศของนักท่องเที่ยวก็มีผลเช่นกัน

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. และฝ่ายความมั่นคง เข้มงวดในมาตรการดูแลความปลอดภัย ซึ่งล่าสุดได้ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งให้ออกและพักราชการ โดยหลังจากนี้จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง

ส่วนประเด็นการเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่ในการทำวีซ่านั้น ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองคนใหม่ ได้ลงไปแก้ไขแล้ว โดยจะต้องไม่มีการเรียกรับสินบนอย่างเด็ดขาด เพราะกำชับไปแล้วว่า หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดจะไล่ออกทันที

ส่วนกรณีเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างรถแดงเชียงใหม่กับ grab car นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ ซึ่งประเด็นข้อกฏหมายกระทรวงคมนาคมต้องไปพิจารณาว่ามีความผิดหรือไม่ แต่ในส่วนของภาพลักษณ์ การล้อมรถและข่มขู่นักท่องเที่ยวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหารถตู้สาธารณะที่ล่าสุดไม่อนุญาตรถตู้อายุเกิน 10 ปีให้บริการ แต่ผู้ประกอบการก็ไม่ยอมเปลี่ยนไปใช้มินิบัสวิ่งข้ามจังหวัดนั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบก ไปพูดคุยหารือให้ได้ข้อสรุปว่าควรดำเนินการอย่างไร ทั้งในส่วนของผู้โดยสาร ผู้ประกอบการ และเส้นทางจราจร รวมถึงบริการของรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากกฏหมายมีผลบังคับใช้แล้ว ดังนั้นต้องหามาตรการที่เหมาะสม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ