นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจเอเยนต์ว่า ได้กำหนดแผนออกเป็นระยะ 3 ปีแรกจะเป็นผู้นำในด้านยอดขายครอบคลุมภูมิภาคเอเชียให้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปี จะให้ก้าวไปสู่ระดับนานาชาติ ที่ให้บริการไปถึงตลาดในสหรัฐอเมริการและในกลุ่มประเทศยุโรป
ทั้งนี้ ก้าวสำคัญของการผลักดันธุรกิจในไทยทางบริษัทจะเปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในธุรกิจเอเยนต์มานาน จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เพื่อร่วมกันขยายโอกาสการให้บริการกับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ คาดว่าภายในปี 62 จะสามารถประกาศความร่วมมือดังกล่าวได้
ในแผนปี 61 บริษัทจะไม่เน้นเพิ่มปริมาณการบริหารโครงการ แต่จะให้ความสำคัญกับการขายมากกว่า พอร์ตที่รับผิดชอบมีประมาณ 14 โครงการ มูลค่าการขาย 8,000-9,000 ล้านบาท ราคาที่ทำตลาด 3-12 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยของสินค้า 3-8 ล้านบาท สัดส่วน 80% จะเป็นโครงการในโซนสุขุมวิท ฐานลูกค้าระดับ B ถึง A ผลงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สามารถสร้างยอดขายมูลค่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้าคนไทยประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้า 30,000-40,000 ราย และยอดขายอีก 1,000 ล้านบาท เป็นลูกค้าต่างประเทศ มีทั้งมาจากประเทศจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยมีบริษัทในเครือ ได้แก่ CAPITAL ONE International Co., Ltd ดูแลตลาดต่างประเทศ บริษัท CAPITAL ONE Hong Kong Lmited-Hong Kong ทำตลาดครอบคลุมลูกค้าชาวจีน มีฐานลูกค้าประมาณ 10,000 ราย และบริษัทยังมีระบบฐานข้อมูล(ดาต้าเบส) ลูกค้าในภูมิภาคเอเชียกว่า 100,000 ราย เป็นต้น
"ด้วยศักยภาพของ แคปปิตอล วัน สามารถรับบริหารต่อโครงการได้มูลค่าไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้เราคาดว่าจะมีอัตราเติบโตระดับ 20% แต่จริงๆแล้วที่ผ่านมาจะมียอดขายเกินมา 50% ทุกปี มาจากการที่ลูกค้าบอกต่อ มุ่งมั่นพัฒนาระบบฐานข้อมูล (ดาต้าเบส) อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะรักษาและควบคุมไม่ให้บริษัทโตก้าวกระโดด เพื่อจะได้สามารถดูแลลูกค้าให้ทั่วถึง ทำธุรกิจได้ยาว ซึ่งในมุมมองแล้ว ธุรกิจโบรกเกอร์ในปัจจุบันต้องปรับตัวให้มาก เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้"ปัจจุบันราคาที่ดินในสุขุมวิทปรับขึ้นไปมาก เนื่องจากผู้ขายเป็นควบคุมราคา และการจะเฉลี่ยราคาในแต่ละโซนคงไม่ได้ เพราะเจ้าของที่ดินมีจำกัด ซึ่งผลจากต้นทุนของที่ดินที่สูงอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เปิดราคาขายต่อตารางเมตร (ตร.ม.)ในกลุ่มตลาดที่สูง 2.5 แสนบาทขึ้นไป จำนวนผู้ซื้อจำกัด เป็นกลุ่มที่เฉพาะมาก จะเห็นได้ว่าในซอยทองหล่อ จะมีโครงการทำตลาดระดับราคาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากเกิดปัญหาก็ไม่กระทบหรือทำร้ายตลาดมาก เนื่องจากขนาดของกลุ่มโครงการที่ออกมาไม่มาก เมื่อเทียบกับโครงการที่ทำสินค้าระดับลักชัวรี ราคา 3.5 แสนบาทต่อ ตร.ม.ตรงนี้น่าเป็นห่วง ภาพที่ชัดเจนจะเห็นในปี 62
"ตลาดคอนโดมิเนียมมีพัฒนาการไปสู่รอบนอกชานเมืองมากขึ้น ตามการขยายตัวของเมือง แต่กลับพบว่า โครงการที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อยูนิต ออกมาค่อนข้างมาก อย่างเช่น โซนสุขุมวิทตอนปลายไปถึงสมุทรปราการ หรือโซน รังสิต เริ่มมีสัญญาณสินค้าเกินความต้องการ จากข้อมูลพบว่า ในครึ่งปีแรก หน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯและปริมณฑล อาคารชุด กว่า 31,000 หน่วย คาดทั้งปี 60,000 หน่วย ขณะที่ ตัวเลขค่าธรรเนียมจดนิติกรรมของกรมที่ดินในปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีงบประมาณที่ผ่านม ต่างกับปี 59-60 การจัดเก็บเพิ่มขึ้น 20% นั่น อาจจะแสดงให้เห็นถึงสภาพตลาดได้ว่า ตอนนี้ ซัพพลายคอนโดนเยอะ แต่ดีมานด์ลดลง ดังนั้น การวัดจากโครงการเปิดใหม่ยาก ต้องวัดจากสร้างเสร็จจดทะเบียน และอีกอย่าง คอนโดฯต่ำกว่า 2 ล้านบาท ปกติแล้ว มีคู่แข่งจากโครงการแนวราบ เนื่องจากไลฟ์สไตล์คนอยู่ชานเมือง อยากอยู่แนวราบ ทาวน์เฮาส์ ทั้งนี้ หากซัพพลายเยอะ เพราะราคาเพิ่มขึ้น ตามหลักเศรษฐกิจ ตัวดีมานด์ต้องเติบโต แต่ตอนนี้ นิ่ง ผลก็คือ มาจากราคาที่แพงเว่อร์ คนไทยซื้อไม่ได้ ลูกค้าต่างชาติ จึงเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ให้น้ำหนักในการเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้า "นายวิทย์ กล่าวต่อว่า แคปปิตอล วัน เตรียมขยายไลน์การบริการไปยังโครงการแนวราบ เพื่อเป็นขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น จากการเปิดโครงการของผู้ประกอบการจำนวนมาก ทั้งสินค้าประเภททาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ โดยจะเข้าไปบริหารจับกลุ่มลูกค้าเกรด A ราคา 5-20 ล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตและมีกำลังซื้อสูง