ศูนย์วิจัยฯ ออมสิน คาด ศก.ไทย Q3/61 โต 4.3% ทั้งปีโต 4.5% ได้แรงส่งบริโภค-ลงทุนเอกชน ส่งออก-ท่องเที่ยวยังหนุน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday October 19, 2018 15:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสินคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/61 จะขยายตัวที่ 4.3% และตลอดทั้งปี 61 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นอยู่ที่ 4.5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ 3.9% ทั้งนี้ เป็นผลจากแรงส่งของการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยได้รับผลดีจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. เม็ดเงินจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท ที่มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ สร้างความสามารถในการแข่งขันและเสริมสร้างศักยภาพคนที่คาดว่าจะทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ครัวเรือนมีความเชื่อมั่นในการบริโภคมากขึ้น 2. การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะปรับตัวเร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นผลจากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่ขยายตัวได้ดี ประกอบกับการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

3. ความชัดเจนของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน 4. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่สภาพคล่องในระบบที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารทั้งระบบสามารถขยายสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง และ 5. ประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายในการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมถึงการประชุมสัมมนาต่างๆ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ได้แก่ 1. การเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐอาจต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่มีความซับซ้อนด้านกระบวนการ 2.รายได้ของภาคครัวเรือนระดับกลางถึงล่างยังปรับตัวเพิ่มไม่มากนัก เป็นแรงกดดันต่อการบริโภคภาคครัวเรือน 3. ถึงแม้ว่าอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) มีแนวโน้มลดลง แต่หนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน

4. การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา และมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าที่ทวีความรุนแรงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าและเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ซึ่งอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย 5. ทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีแนวโน้มตึงตัวมากยิ่งขึ้น เป็นแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารแห่งประเทศไทย

ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี จากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลการค้าและบริการที่ขยายตัวได้ดี ส่งผลให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง จากสถานะทุนสำรองฯ สุทธิ ณ เดือน ส.ค.61 อยู่ในระดับสูงที่ 7.81 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.6% ของ GDP สูงกว่าหนี้ระยะสั้นถึง 3.2 เท่า สามารถรองรับการนำเข้าโดยเฉลี่ยได้สูงถึง 8.9 เดือน แสดงถึงความแข็งแกร่งของเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก คาดว่าจะสามารถรองรับความผันผวนทางการเงินจากปัจจัยต่างประเทศได้ และลดแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้อีกระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลัก และผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า หากมีความยืดเยื้อเกินกว่าที่คาดไว้ จะส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของไทยได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ