(เพิ่มเติม) ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาล เผยสภาพัฒน์คาด GDP ไตรมาส 4/50 โตไม่ต่ำกว่า 5.0%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 7, 2008 13:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) รายงานว่า สภาพัฒน์คาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 50 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5.0% ซึ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ส่วนในปี 51 สภาพัฒน์คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4.6% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาเงินเฟ้อ เป็นต้น โดยอัตราเงินเฟ้อในปี 50 น่าจะอยู่ที่ 2.5% และในปี 51 น่าจะอยู่ที่ 2.8%
นายโชติชัย กล่าวว่า ที่ประชุมยังฝากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดูแลเรื่องกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในประเทศ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 51 คงไปหวังพึ่งการส่งออกเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง ขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังดีอยู่และสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงปี 52
ขณะที่ นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง คาดว่า จีดีพีในไตรมาสสุดท้ายของปี 50 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5.5% ส่งผลให้จีดีพีทั้งปี 50 ขยายตัวได้ใกล้เคียง 5.0% แม้ตัวเลขที่หลายสำนักคาดการณ์ไว้จะเลวร้ายกว่านี้ ส่วนในปี 51 จีดีพีน่าจะขยายตัวได้ในระดับ 4.5-5.5%
ด้าน นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม เห็นว่า ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจากต่างประเทศก็ยังเป็นไปด้วยดี แม้จะมีข้อกังวลว่านักลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศเวียดนาม แต่ในบางอุตสาหกรรมก็มีข้อจำกัด เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ โดยส่วนใหญ่อุตสาหกรรมที่มีการย้ายฐานการผลิตไปอยู่เวียดนามจะเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เช่น เสื้อผ้า รองเท้า
นายโชติชัย กล่าวว่า สภาพัฒน์ยังรายงานว่าอัตราการว่างงานในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 1.2% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะมีผู้ประกอบการปิดกิจการไปบ้าง แต่ก็มีการเปิดโรงงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา
ส่วนปัญหาราคาน้ำมันแพงนั้น นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน ระบุว่าขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลว่าต้องการที่จะช่วยเหลือผู้ส่งออกหรือประชาชนทั่วไป เพราะที่ผ่านมามีการแทรกแซงค่าเงินบาทให้อยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากปล่อยไปตามกลไกตลาดค่าเงินบาทน่าจะอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์ ดังนั้น ราคาน้ำมันในประเทศจึงทะลุลิตรละ 30 บาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าผลงานด้านเศรษฺฐกิจของรัฐบาลช่วงที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ซึ่งจะได้ทำรายงานผลสรุปดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.) ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน ในวันที่ 17 ม.ค.นี้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ