กรมการค้าต่างประเทศมั่นใจยอดใช้สิทธิ FTA-GSP โตตามเป้า หลัง 9 เดือนขยายตัวต่อเนื่อง

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 13, 2018 12:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ แถลงการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.61) มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 55,668.83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ 74.44% ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 17.70% โดยแบ่งเป็น มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) จำนวน 52,090.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) จำนวน 3,578.03 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปัจจุบัน ประเทศไทยได้จัดทำความตกลง FTA ทั้งสิ้น 12 ฉบับ และมีการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 52,090.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 75.64% ของมูลค่าการส่งออก รวมภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไปยังประเทศคู่ภาคีความตกลง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 18.19%

ทั้งนี้ ตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) อาเซียน (มูลค่า 19,949.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 2) จีน (มูลค่า 13,189.35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 3) ออสเตรเลีย (มูลค่า 7,004.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 4) ญี่ปุ่น (มูลค่า 5,591.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และ 5) อินเดีย (มูลค่า 3,329.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พบว่าตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู ซึ่งมีอัตราการขยายตัว 64.54% รองลงมาคือ จีนและอินเดีย ซึ่งมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 29.55% และ 22.57% ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3 ตลาดดังกล่าวนอกจากจะมีอัตราการขยายตัวสูงแล้วยังพบว่ามีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงเช่นเดียวกัน สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ไทย-ชิลี (94.97%) 2) ไทย-ออสเตรเลีย (90.94%) 3) อาเซียน-จีน (90.71%) 4) ไทย-ญี่ปุ่น (87.38%) และ 5) อาเซียน-เกาหลี (87.07%) และรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียน น้ำตาลจากอ้อย และน้ำมันปิโตรเลียม

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตามองการส่งออกไปจีนที่มีอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2560 อย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีการนำเข้าสินค้าสำคัญของไทยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเหล่านี้มีการขยายตัวขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เช่น ส่วนเก็บข้อมูลของหน่วยประมวลผล พารา-ไซลีน และสตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง โดยมีการใช้สิทธิเพิ่มขึ้นถึง19.12% 146.69% และ 44.92% ตามลำดับ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกรวมและมูลค่าการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีนเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 เมื่อเทียบกับปี 2560 มูลค่าการใช้สิทธิฯ Form E เติบโตถึง 29.55% รวมถึงสัดส่วนการใช้สิทธิฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 90.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการและอำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการที่มาขอยื่นเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีน (Form E) กรมฯ จึงมีแนวทางที่จะพัฒนาการให้บริการการออก Form E ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต โดยใช้แนวทางเดียวกับการออกหนังสือรับรองอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ความตกลงอาเซียน (E-Form D) ซึ่งกรมฯ และหน่วยงานศุลกากรของจีนได้เริ่มมีการหารือและร่วมมือกันศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลถิ่นกำเนิดสินค้า (Electronic Origin Data Exchange System: EODES) และใช้ระบบ E-Form E ร่วมกันตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา และล่าสุดฝ่ายจีนมีแผนจะจัดคณะเจ้าหน้าที่มาประชุมร่วมกับฝ่ายไทยในช่วงต้นปี 2562 เพื่อต้องการเร่งผลักดันการเริ่มดำเนินการเพื่อจัดทำความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ในการใช้ระบบ EODES และระบบ E-Form E แบบทวิภาคีระหว่างไทย-จีนให้เป็นรูปธรรมต่อไป

สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP โดยในปัจจุบันไทยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP 5 ระบบ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราชนอร์เวย์ และญี่ปุ่น

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 (มกราคม-กันยายน) มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP เท่ากับ 3,578.03 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการใช้สิทธิ 60.47% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ขยายตัว 10.98% โดยการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนการใช้สิทธิมากที่สุด คือประมาณ 90% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3,211.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิ 68.82% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 4,667 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 3.66% สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มอื่นๆ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง และรถจักรยานยนต์

โดยในส่วนของประเด็นการตัดสิทธิ GSP สหรัฐฯ ที่ได้มีการประกาศตัดสิทธิ GSP สินค้าไทยจำนวน 11 รายการ อาทิ ดอกกล้วยไม้สด ทุเรียนสด มะละกอตากแห้ง และมะขามตากแห้ง เป็นต้น เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกรวมไปสหรัฐฯ น้อยมาก เนื่องจากสินค้าทั้ง 11 รายการมีสัดส่วนคิดเป็น 1.89% ของมูลค่าการส่งออกรวมไปสหรัฐฯ ในปี 2560 และ 1.17% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ประกอบกับที่ผ่านมา สินค้าไทย เช่น เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง เป็นต้น เคยถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP มาแล้วแต่ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกมีการปรับตัวโดยการพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล ทำให้ยังคงรักษาตลาดต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 จะมีแนวโน้มต้องเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยังไม่มีความชัดเจนและอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความเชื่อมั่นทางการค้าและการลงทุน แต่กรมฯ คาดว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย โดยตลอดปี 2561 ได้ตั้งเป้าหมายอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ไว้ที่ 9% (คิดเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ประมาณ 70,794 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้ มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็น 78.6% ของเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ โดยเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่มีการกระจายตัวในตลาดใหม่ๆ และศักยภาพในการขยายตลาดที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งการปรับปรุงระบบการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กรมฯ จึงมั่นใจว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ