ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.97/99 จับตารัฐสภาอังกฤษลงมติ Brexit คาดกรอบพรุ่งนี้ 31.90-32.10

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 14, 2019 17:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.97/99 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่า จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.94 บาท/ดอลลาร์

ช่วงเย็นนี้ เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าเล็กน้อยเป็นไปตามทิศทางของค่าเงินสกุลหลักในภูมิภาค โดยปัจจัยสำคัญที่ตลาดจับ ตา คือ มติของรัฐสภาอังกฤษในวันพรุ่งนี้ (15 ม.ค.) จะให้การสนับสนุนร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ตามที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษทำไว้กับผู้นำสหภาพยุโรป (EU) หรือไม่

"คงต้องดูผลเรื่อง brexit พรุ่งนี้ก่อน แต่มองว่าไม่น่าจะผ่าน ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า บาทก็อาจจะอ่อน ค่าไประดับ 32 บาทต้นๆ ได้ แต่คงไม่อ่อนไปมาก เพราะโดนกดดันจากปัจจัยเฟดขึ้นดอกเบี้ยด้วย" นักบริหารเงิน ระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.90-32.10 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • ช่วงเย็นเงินเยนอยู่ที่ระดับ 108.11/14 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 108.42 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1455/1460 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1467 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,582.57 จุด ลดลง 14.47 จุด (-0.91%) มูลค่าการซื้อขาย 41,570 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,195.36 ลบ.(SET+MAI)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มซื้อขายในกรอบ 31.80-
32.10 บาทต่อดอลลาร์ โดยสัปดาห์นี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับข้อมูลยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ รวมถึงการลงมติในสภาสหราช
อาณาจักร เรื่องข้อเสนอ Brexit ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มความผันผวนให้กับอัตราแลกเปลี่ยน
  • บลจ.กสิกรไทย คงมุมมองเป็นบวกสำหรับภาพการลงทุนระยะกลางถึงยาวในตลาดหุ้นไทย จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทย
ที่ยังคงเติบโตดี โดยมองเป้าหมาย SET Index ปลายปี 62 ที่ 1,750 จุด บนสมมติฐานการคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไร
บริษัทจดทะเบียน (EPS) ที่ 6% ปรับลดลงจากเดิมที่คาดไว้ที่ระดับ 8% เนื่องจากปรับลดราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีลงเหลือ 60 เหรียญ
สหรัฐ/บาร์เรล จากเดิม 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
  • บลจ.กสิกรไทย คาดทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 62 จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ด้วยปัจจัยบวกภายในประเทศอย่าง
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัจจัยภายนอกยังมีความไม่แน่นอนสูง
ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน เรื่องการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และการขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ ยังต้องจับตามองการเลือกตั้งของประเทศไทย ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มี.
ค.62 ซึ่งถ้าหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่น จะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้
  • นายเชิง ซงเฉิน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารกลางจีน (PBOC) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพหลัง
ช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 และน่าจะเริ่มอุ่นเครื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้ออกนโยบายการคลังและการ
เงินสนับสนุนเศรษฐกิจ
  • สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) ประกาศว่า SAFE ได้เพิ่มวงเงินของโครงการนักลงทุนสถาบัน
ต่างชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสม (QFII) เป็นสองเท่าสู่ระดับ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นย่างก้าวใหม่ในการเปิดตลาดทุน
ของประเทศ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อรองรับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการขยายการลงทุนในตลาดทุนของจีน
  • จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐในปี 2561 เพิ่มขึ้น 17.2% จากปี 2560 แตะระดับ 3.233 แสนล้านดอลลาร์ นับ

เป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสองประเทศจะทวีความรุนแรงมากขึ้นก็ตาม ทั้งนี้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้ยอดเกินดุลการค้าเป็นข้ออ้างในการกดดันจีนเพิ่มเติม เพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้า และ

ดำเนินการกับสิ่งที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมกับจีน เช่น การกล่าวหาในเรื่องของการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ