7 สมาคมเหล็กวอนรัฐฯ ต่ออายุเซฟการ์ด หวั่นเหล็กนอกไหลทะลักเข้ามากระทบอุตสาหกรรมหลังยุติมาตรการ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 30, 2019 16:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมฯ เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวกระทรวงพาณิชย์ไม่ขยายเวลาบังคับใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น หรือเซฟการ์ด ของสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยด์ ซึ่งมาตรการจะหมดอายุลงในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ว่า หากไทยยุติมาตรการเซฟการ์ดในช่วงนี้ก็จะทำให้เกิดวิกฤติต่ออุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศ ดังเช่นในปี 2556 ซึ่งเป็นช่วงก่อนบังคับใช้มาตรการผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนบางรายต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวไปเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี และหากมองจากสถานการณ์ในครั้งนี้ผลกระทบจะมีความรุนแรงเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างมีนโยบายในการคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศจากสงครามทางการค้า แต่ประเทศไทยกลับมีนโยบายที่สวนกระแสโลก เซฟการ์ดเป็นมาตรการที่มีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์สงครามทางการค้าของสหรัฐอเมริกา-จีน ซึ่งปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกาที่ใช้มาตรการ 232 สหภาพยุโรป ตุรกี และแคนาดา ใช้มาตรการเซฟการ์ดในรูปแบบพิเศษ ที่เปิดไต่สวนสินค้าเหล็กหลายประเภทในคราวเดียวซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นสินค้าเหล็กที่ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ได้ย่อมต้องถูกระบายไปยังประเทศที่ไม่มีมาตรการทางการค้า

"หากมีสินค้าไหลทะลักเข้ามาหลังยุติมาตรการ กลุ่มผู้ผลิตในประเทศที่มีการลงทุนไปกว่า 200,000 ล้านบาทอาจต้องเผชิญอุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดในการดำเนินธุรกิจ และอาจจะส่งผลกระทบต่อคู่ค้า และธนาคารเจ้าหนี้ รวมถึงส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินดังกล่าวเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศ"

ทั้งนี้ กลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขอให้พิจารณาใช้มาตรการค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็ก (Surcharge) กรณีที่ไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ด ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 ได้อนุมัติในหลักการให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ (Surcharge) สำหรับสินค้าเหล็กกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากมาตรการของรัฐ ตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 และจะเข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์นี้เพื่อชี้แจงความจำเป็นของการต่ออายุมาตรการเซฟการ์ด และความเสียหายของอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศกรณีไม่มีมาตรการ

ด้านนายวรพจน์ เพียรอภิธรรม นายกสมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น กล่าวว่า หากภาครัฐไม่มีการบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดต่อไปในช่วงนี้ และเกิดขึ้นอย่างกระชั้นชิดไม่มีเวลาให้อุตสาหกรรมในประเทศได้เตรียมตัว (จะมีการพิจารณาในเดือนกุมภาพันธ์ และมาตรการจะหมดอายุวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562) เชื่อว่าอุตสาหกรรมเหล็กทั้งห่วงโซ่การผลิตต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

เนื่องจากสินค้าที่จะไหลทะลักเข้ามา โดยเฉพาะจากจีนมีราคาต่ำมากผิดปกติจะส่งผลให้ ธุรกิจในอุตสาหกรรมปลายน้ำจะเกิดการชะงักงัน การทำธุรกิจชะลอตัว เนื่องจากผู้ผลิต และผู้ซื้อไม่มีความมั่นใจในราคาสินค้า ผู้ประกอบการต้องแบกภาระต้นทุนที่เกิดขึ้น และสุดท้ายต้องประสบกับภาวะขาดทุน เนื่องจากต้องลดราคาสินค้าตามราคาสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ไหลทะลักเข้ามา ดังนั้นสมาคมฯ ในฐานะผู้ใช้หลักขอสนับสนุนให้ภาครัฐขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดต่อไป 3 ปี หรืออย่างจนกว่าปัญหาสงครามทางการค้าจะยุติลง รวมถึงให้ผู้ประกอบการในประเทศสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังไม่มีมาตรการได้เสียก่อน

นายเชาวรัตน์ จั่นประดับ นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย และนายพงศ์เทพ เทพบางจาก นายกสมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ร่วมให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สมาคมฯ สนับสนุนการขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดเช่นกัน เนื่องจากหากยุติมาตรการอย่างกะทันหันเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กทั้งห่วงโซ่การผลิตอย่างแน่นอน แ

นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กล่าวว่า เจตนารมณ์ของการขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดนั้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมภายในขณะดำเนินการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับสินค้านำเข้า ดังนั้นการยุติมาตรการโดยให้เหตุผลว่าอุตสาหกรรมภายในไม่มีความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยในการขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการเซฟการ์ดในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นไปเพื่อป้องกันความเสียหายตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ จากปัญหาความรุนแรงของสงครามทางการค้าของสหรัฐ และจีนที่ยังคงมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยประเทศต่างๆทั่วโลกมีการใช้มาตรการเซฟการ์ด และมาตรการอื่นๆคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กของตน แต่ไทยกลับจะยุติมาตรการเซฟการ์ดซึ่งเป็นมาตรการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ การยุติมาตรการจึงเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาทบทวนอีกครั้งเพื่อให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยยังคงสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ