สคร. ยันโปร่งใส ไม่มีการเอื้อประโยชน์นายทุนใน Thailand Future Fund

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 31, 2019 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษก สคร. ได้ชี้แจงข้อวิจารณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของ สคร. ใน 3 เรื่อง ได้แก่ ประเด็นที่ 1 การให้โครงการทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ และบางนา - ชลบุรี เข้ากองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุนอย่างชัดเจนนั้น ขอชี้แจงว่า TFFIF เป็นทางเลือกในการระดมทุนในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่ต้องการเงินลงทุนจำนวนมาก สำหรับการระดมทุนผ่าน TFFIF ของ กทพ. เป็นการนำกระแสเงินสดบางส่วนที่จะได้รับในอนาคตของทางด่วนสายฉลองรัชและทางด่วนสายบูรพาวิถี โอนให้แก่ TFFIF เพื่อให้ กทพ. นำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนผ่าน TFFIF เพื่อนำไประดมทุน ลงทุนพัฒนาโครงการทางพิเศษของ กทพ. ได้รวดเร็วมากขึ้น ส่งผลถึงประชาชนได้รับบริการได้เร็วขึ้นด้วย

โดยการจัดตั้งและระดมทุนของ TFFIF ดำเนินการตามประกาศและหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีการจัดสรรให้ประชาชนรายย่อยให้ได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุนอย่างเท่าเทียม หรือเรียกว่า Small Lot First ซึ่งอยู่บนหลักการในการจัดสรรให้แก่ประชาชนรายย่อยในประเทศเป็นสัดส่วนหลักตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ทำให้การเสนอขายหน่วยลงทุนต่อนักลงทุนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ TFFIF มีการจัดสรรให้แก่ประชาชนรายย่อยมากที่สุดในสัดส่วนมากกว่า 50% ของจำนวนที่เสนอขาย นอกจากนี้ ในส่วนที่มีการจัดสรรหน่วยลงทุนให้แก่นักลงทุนสถาบันได้จัดสรรให้นักลงทุนในประเทศเท่านั้นและเน้นให้มีประชาชนรายย่อยเป็นผู้ลงทุนหลักด้วย โดยไม่ได้มีการจัดสรรให้แก่บุคคลรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ประเด็นที่ 2 โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี ซึ่งใช้เงินภาษีประชาชนสร้างจำนวน 1.4 แสนล้านบาท แต่กลับไม่สามารถบริหารจัดการด่านเก็บเงินได้ ต้องให้ภาคเอกชนเข้ามารับสัมปทานเป็นผู้ทำด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง โดยรัฐจ่ายค่าจ้างให้เอกชนปีละ 2,000 ล้านบาท สัญญา 30 ปี ได้รับประโยชน์อย่างง่ายดาย โดยไม่มีความเสี่ยงแต่อย่างใดนั้น

ขอชี้แจงว่า 1.รูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี เป็นไปตามผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการของกรมทางหลวงโดยความเห็นชอบของกระทรวงคมนาคม โดยในการนำเสนอมีข้อสรุปว่า ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนโครงสร้างงานโยธา และให้เอกชนจะเป็นผู้ออกแบบและลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบ ศูนย์ควบคุมการจราจร และระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M)

2. ในการให้เอกชนร่วมลงทุนดังกล่าว เงินค่าผ่านทางทั้งหมดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ โดยเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนจากการลงทุนและทำ O&M ซึ่งค่าตอบแทนของเอกชนจะขึ้นอยู่กับผลการประมูลแข่งขันที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ นอกจากนี้ การกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนข้างต้นจะเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของเอกชน รวมถึงสามารถปรับลดค่าตอบแทนหากเอกชนปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ด้วย

ประเด็นที่ 3 การจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจ โดยอ้างว่าเพื่อให้รัฐสามารถดูแลผลประโยชน์ได้ แต่ตามข้อเท็จจริงเป็นการเปิดทางให้แก่นายทุนเข้ามาถือครองแทนนั้น ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในรายละเอียด โดยในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาไม่มีบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ