ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.38/40 แกว่งแคบ นลท.เกาะติดการเมืองในประเทศ คาดกรอบพรุ่งนี้ 31.30-31.50

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 11, 2019 18:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 31.38/40 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าเล็กน้อย จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.35 บาท/ดอลลาร์

ระหว่างวันเงินบาทยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ เนื่องจากตลาดยังรอติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ภายในประเทศ รวมทั้งปัจจัยต่างประเทศ เช่น การเจรจาการค้ารอบใหม่ที่จะมีขึ้นอีกครั้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วงปลายสัปดาห์นี้

"วันนี้บาทยังอยู่ในกรอบแคบๆ เหมือนว่าตลาดรอติดตามสถานการณ์การเมืองในไทยอยู่ รวมทั้งปัจจัยภายนอก ตอนนี้ก็รอดูที่ สหรัฐกับจีนจะคุยกันสัปดาห์นี้ นอกนั้นยังเป็นปัจจัยเดิมๆ" นักบริหารเงินระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.30-31.50 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 110.24/27 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 109.77 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1304/1306 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1326 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,638.00 จุด ลดลง 13.68 จุด (-0.83%) มูลค่าการซื้อขาย 40,671 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,596.19 ลบ.(SET+MAI)
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมติดตามงานสำคัญของกระทรวงคมนาคมว่า ในช่วงที่
การลงทุนจากต่างประเทศรอดูความชัดเจนในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จึงต้องการเร่งรัดให้กระทรวงคมนามคมผลักดันโครงการลงทุนทุก
โครงการให้เป็นไปตามแผน และเห็นผลในช่วงไตรมาส 1 และ 2 นี้ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังเดินหน้าต่อไปได้
ดี
  • ตลาดการเงิน จับตาการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้ โดยกระทรวงพาณิชย์จีน ยืนยันว่า นาย
หลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะจัดการประชุมเพื่อเจรจาการค้ารอบใหม่กับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ
(USTR) และสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ โดยการประชุมจะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในวันที่ 14-15 ก.พ.62

ทั้งนี้ หากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนวันที่ 1 มี.ค. ประธานาธิบดีสหรัฐก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียก เก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากปัจจุบันที่เรียกเก็บในอัตรา 10%

  • ธนาคารกลางฝรั่งเศส คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของฝรั่งเศสจะขยายตัว 0.4% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น
เล็กน้อยจากไตรมมาสสี่ของปีที่แล้ว ซึ่งขยายตัวเพียง 0.3% เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุประท้วงเสื้อกั๊กเหลือง ขณะที่ตลอดทั้งปีนี้รัฐบาล
ฝรั่งเศสคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.7%
  • รัฐบาลอังกฤษได้ขอให้รัฐสภาให้เวลาแก่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเพิ่มขึ้น เพื่อให้นางเมย์มีเวลาแก้ไขข้อ
ตกลงการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ทั้งนี้ การขอเวลาให้กับนางเมย์เพิ่มเติมนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญ
หน้า เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษมีกำหนดอภิปราย และลงคะแนนเสียงเรื่องกระบวนการ Brexit ในวันที่ 21 ก.พ.
  • ผลการวิจัยจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ลอนดอน ระบุว่า การลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ทำให้
บริษัทอังกฤษหันไปลงทุนในสหภาพยุโรป (EU) กันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกจาก EU โดย
พบว่าตั้งแต่ช่วงกลางปี 59 จนถึงเดือน ก.ย.61 มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากอังกฤษไหลเข้าสู่ EU เพิ่มขึ้นถึง
12% หรือประมาณ 8.3 พันล้านปอนด์ (1.07 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการบริการ ขณะที่ตัว
เลข FDI จากฝั่ง EU ไหลเข้าอังกฤษกลับลดลง 11% หรือประมาณ 3.5 พันล้านปอนด์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ