ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถานกระทบการค้า-ท่องเที่ยวไทยในวงจำกัด

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday February 28, 2019 17:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานที่ร้อนแรงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนกระทั่งล่าสุดได้นำมาสู่การปิดน่านฟ้าของปากีสถานและอินเดียตอนเหนือบางส่วน ในเบื้องต้นน่าจะส่งผลค่อนข้างจำกัด ทั้งด้านการค้าระหว่างไทยกับอินเดียและด้านการท่องเที่ยว

โดยมองว่าการค้าระหว่างไทยกับอินเดียและปากีสถานไม่ได้รับผลกระทบ หากไม่ลุกลามไปสู่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ภายใต้การคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่เชื่อว่าจากประสบการณ์ในอดีต ที่ไม่ว่าจะเกิดความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานรุนแรงแค่ไหน ก็ส่งผลกระทบจำกัดอยู่แค่พื้นที่โดยรอบเท่านั้น ไม่ส่งผลลุกลามมายังเศรษฐกิจมากนัก และในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถกลับมาอยู่ในจุดที่อยู่ร่วมกันได้ แต่เรื่องสิทธิเหนือพื้นที่แคชเมียร์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน จึงมีโอกาสที่จะหวนกลับมาเป็นประเด็นได้อีกในระยะข้างหน้า

ดังนั้น ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งนี้ จึงแทบจะไม่ส่งผลต่อการค้าของไทยในปี 2562 เพราะน่าจะคลี่คลายลงได้ หรือไม่ยกระดับรุนแรงไปกว่านี้ อีกทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ ก็ค่อนข้างมีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาด รวมทั้งปลายทางสินค้าไทยส่วนใหญ่ไปยังเมืองท่าที่อยู่ตอนใต้ของประเทศปากีสถานอย่างเมืองการาจี และเมืองท่าของอินเดียอย่างเมืองมุมไบและเชนไน จากนั้นจึงกระจายต่อไปยังพื้นที่ส่วนอื่นต่อไป ซึ่งการปิดน่านฟ้าตอนบนของทั้งสองประเทศ จึงไม่ส่งผลต่อการค้าของไทย

อนึ่ง ทั้งอินเดียและปากีสถานนับว่าเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยในลำดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียใต้ ที่ประกอบด้วย อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย มัลดีฟส์ เนปาล ปากีสถาน และศรีลังกา ที่ในปี 2561 ไทยส่งออกไปยังเอเชียใต้รวมมีมูลค่าประมาณ 10,957 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 4.4% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย

โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการส่งสินค้าไปยังตลาดอินเดียถึง 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ปากีสถานซึ่งเป็นคู่ค้าในลำดับถัดมามีมูลค่าเพียง 1,480 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกสำคัญเป็นสินค้าที่ไทยส่งไปทั้ง 2 ประเทศ ล้วนมีศักยภาพโดดเด่นอยู่แล้ว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยานยนต์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องยนต์ และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

ปัจจุบัน อินเดียใช้ปากีสถานเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าไปยังตะวันออกกลาง และทั้งสองต่างพึ่งพาการค้ากันด้วยอานิสงส์ภายใต้กรอบการค้าเสรีเอเชียใต้ (South Asian FTA: SAFTA) ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่า ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานจะสามารถปรับเข้าสู่สถานะปกติได้ นำไปสู่การจำกัดพื้นที่ความขัดแย้ง และจะสามารถเปิดเส้นทางบินทางอากาศได้โดยเร็ว โดยจะไม่ลุกลามออกไปเป็นความขัดแย้งที่กระทบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และไม่ส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปอินเดียที่เป็นตลาดศักยภาพของไทย

"คาดว่าการส่งออกของไทยไปอินเดียในปี 2562 จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องที่ 3.3-5.3% มีมูลค่าส่งออกรวม 7,850-8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ถ้าหากความขัดแย้งลุกลามจนมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ และทิศทางการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอินเดียที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2562 การส่งออกของไทยในปี 2562 ก็อาจจะเติบโตต่ำกว่าที่คาดได้" เอกสารเผยแพร่ระบุ

สำหรับประเด็นปัญหาระหว่างอินเดียและปากีสถาน ที่อาจจะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ขณะนี้ปัจจัยดังกล่าวน่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวอินเดียที่จะเดินทางมาเที่ยวในไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางมาเที่ยวไทยจะมาจากในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ดังนั้น ปัญหาการปิดน่านฟ้าของปากีสถานและบางส่วนของอินเดีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการที่สายการบินต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการบิน มองว่าน่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของการท่องเที่ยวไทย แต่ก็คงต้องติดตามพัฒนาการของปัญหาต่อไปอีกระยะ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทิศทางของตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยในปี 2562 น่าจะยังรักษาระดับการเติบโตที่ดีต่อเนื่องได้ โดยมีแรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival ที่ช่วยหนุนการเติบโตของนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยมาตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2561 โดยคาดว่าในปี 2562 นักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยจะมีประมาณ 1.70-1.74 ล้านคน ขยายตัว 6.7- 8.7% และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 76,680-78,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2-9.2%

"ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากต้องติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องติดตาม อาทิ เศรษฐกิจและค่าเงินรูเปียของอินเดีย การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งในปีนี้หลายประเทศได้ให้ความสำคัญในการจับกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียเช่นกัน" เอกสารเผยแพร่ระบุ

ทั้งนี้ บทบาทของอินเดียต่อเศรษฐกิจไทยในด้านของภาคบริการการท่องเที่ยว นับว่ามีความสำคัญ โดยไทยถือเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวอินเดียให้ความสนใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งนักท่องเที่ยวอินเดียที่ท่องเที่ยวในไทยมีความหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่เดินทางมาเพื่อการพักผ่อน กลุ่มที่เดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบสัมมนา และการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อจัดงานแต่งงานในไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

ขณะที่ ในปี 2561 นักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยมีจำนวน 1.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 12.8% สูงเป็นอันดับที่ 6 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมด และในเดือนมกราคม 2562 นักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่องราว 24.9% สำหรับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยในปี 2561 มีมูลค่าประมาณ 71,511 ล้านบาท เติบโตถึง 30.6%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อินเดียยังคงเป็นตลาดการค้าและตลาดนักท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีศักยภาพในการเติบโตตลอดปี 2562 นี้ ซึ่งความขัดแย้งในครั้งนี้ คาดว่าน่าจะเป็นเพียงความเสี่ยงระยะสั้น ขณะที่ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของอินเดียกับปากีสถานเป็นเรื่องที่จะยังเป็นประเด็นอ่อนไหวต่อไป แต่ทั้งสองประเทศก็สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์หลังจากนี้ ว่าทางออกร่วมกันของอินเดียและปากีสถานจะเป็นไปในทิศทางใด โดยเฉพาะทางฝั่งอินเดีย ซึ่งถ้าหากบทสรุปไม่เป็นไปในลักษณะที่เอื้อต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการลงทุน อาจทำให้ความพยายามของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมทั้งอาจส่งผลทางอ้อมมายังการค้ากับไทยและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอินเดียที่ต้องติดตามต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ