นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน และในฐานะประธานคณะทำงานฯ เพื่อตรวจสอบผลกระทบการลอยตัวราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เปิดเผยว่า คณะทำงานฯ ประกอบด้วยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.), กระทรวงการคลัง, กระทรวงมหาดไทย และบมจ.ปตท. (PTT) อยู่ระหว่างการศึกษาถึงความจำเป็นโครงการบัตรส่วนลดราคา NGV ที่ปัจจุบันปตท.ให้การสนับสนุนแก่รถโดยสารสาธารณะในราคาต่ำกว่าราคาขายปลีก NGV
โดยจะพิจารณาว่าผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวจะอยู่กับกลุ่มใด และหากยกเลิกบัตรส่วนลด จะส่งผลกระทบอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นมีการศึกษาว่าอาจนำไปใช้ร่วมกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา ปตท.แบกรับภาระการอุดหนุนราคา NGV มาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนผลสรุปมาตรการช่วยเหลือจะออกมารูปแบบใดนั้นจะต้องมีการหารือร่วมกันอีกครั้ง
"คณะทำงานฯ เพิ่งประชุมนัดแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาข้อมูลที่แท้จริงว่า การให้ส่วนลดราคา NGV สำหรับกลุ่มรถแท็กซี่ รถโดยสารขนาดเล็ก รถตู้สาธารณะ รวมผู้ใช้ประโยชน์ในโครงการดังกล่าวกว่า 8 หมื่นราย ผลประโยชน์ที่แท้จริงจะตกอยู่กับใคร ประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และหากยกเลิกบัตรส่วนลดราคาจะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง คณะทำงานฯจะเข้ามาพิจารณาความเหมาะสมเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น เบื้องต้นอาจดูว่าจะทำอย่างไรให้สามารถช่วยเหลือได้ตรงจุด ช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้หรือไม่ กำลังอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลังว่าสามารถนำมาใช้ในแนวทางดังกล่าวได้หรือไม่"นายกุลิศ กล่าว
อนึ่ง ปตท.เป็นผู้อุดหนุนราคา NGV ให้กับรถโดยสารสาธารณะตั้งแต่ปี 2555 โดยราคา NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะที่ได้รับการสนับสนุนอยู่ที่ 10.67 บาท/กิโลกรัม ซึ่งมาตรการสนับสนุนดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.62 ขณะที่ปัจจุบันราคาขายปลีก NGV อยู่ที่ 16.44 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ปตท.แบกภาระขาดทุนจากธุรกิจ NGV มาอย่างต่อเนื่อง
นายกุลิศ กล่าวอีกว่า สำหรับคาดการณ์ความต้องการใช้ NGV ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะถูกบรรจุอยู่ในแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ(Gas Plan) ซึ่งเป็น 1 ใน 5 แผนแม่บทพลังงานที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการปรับปรุง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมี.ค.นี้ อย่างไรก็ตามการพิจารณากรณี NGV จะต้องมีการปรับใหม่ตามแผนก๊าซฯ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ก็จะเข้ามามากขึ้น จะกระทบต่อความต้องการใช้ NGV จะมากน้อยเพียงใด ประกอบกับราคาน้ำมันถูก ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคจะไม่สนใจใช้ NGV มากนัก