นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ระบุว่าเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ถือว่ามีความมั่นคงค่อนข้างมาก ความเสี่ยงต่อการถดถอยของเศรษฐกิจมีน้อย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลนี้ได้พยายามเติมมาตรการการคลังลงไป โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะเน้นให้ความสำคัญเป็นหลัก เนื่องจากทำแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงถือว่าเป็นมาตรการการคลังที่ลงทุนไปแล้วไม่สูญเปล่า
"ที่เราทำเรื่องการลงทุนเป็นหลัก เพราะทำแล้วได้ผลตอบแทนต่อเศรษฐกิจ เราไม่ได้ลงทุนมาตรการการคลังที่ให้ไปแล้วสูญ แต่ส่วนใหญ่ที่เราลงคือ ให้ไปเพื่อกระตุ้นให้โครงการเกิด โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีผลต่อเศรษฐกิจ มีการ return อย่างน้อย 10-20% เปรียบเหมือนบริษัท เราลงทุนสร้างเครื่องจักร แล้วกำไรเพิ่มขึ้น ประเทศไทยก็จะทำแบบนี้"รมว.คลัง กล่าว
ขณะเดียวกัน ในมาตรการการคลังบางส่วนที่แม้รัฐบาลลงทุนไปแล้วอาจไม่ได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกลับมามากนัก เช่น มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือผลตอบแทนทางสังคม ที่ช่วยให้ประชาชนมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าจากการที่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการสวัสดิการแห่งรัฐได้มาเข้าร่วมในการพัฒนาทักษะอาชีพ จะทำให้อย่างน้อยในกลางปีนี้จะมีผู้มีรายได้น้อยที่จะพ้นจากเส้นความยากจน หรือมีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นอีก 70-80% จากจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเข้ารับการฝึกทักษะอาชีพประมาณ 4 ล้านคน
"เมื่อวันที่รัฐบาลเข้ามาเศรษฐกิจไม่ดี เหมือนบริษัทจะเจ๊ง แล้วบอกให้เพิ่มเงินเดือนพนักงาน ทำได้ไหม คำตอบคือ ทำไม่ได้ สิ่งที่เราต้องรับผิดชอบคือ ทำให้บริษัทอยู่รอด เข้มแข็งขึ้น จากนั้นในที่สุดพนักงานจะดีขึ้น การที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ก็เหมือนทำให้บริษัทค่อยๆ ดีขึ้นมา มันต้องใช้เวลาเหมือนกัน เราใช้เวลา 2-3 ปี ทำให้มันโตได้ศักยภาพ ซึ่งเมื่อโตเต็มศักยภาพ ก็หมายความว่าบริษัทสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว และไม่ควรจะตกลงไปอีก ดังนั้น สิ่งที่เราทำระหว่างทาง คือทำให้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"รมว.คลังกล่าว
นายอภิศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ผู้ว่าการ ธปท.แสดงความเห็นว่าประเทศไทยมีปัญหาการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบไม่ทั่วถึงต่อเนื่องมานาน ผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ส่วนหนึ่งมาจากภาครัฐขาดประสิทธิภาพและความสามารถที่จะทำหน้าที่จัดสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม โดยนายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ว่า ธปท.หรือนักวิชาการก็สามารถแสดงความเห็นได้ แต่ต้องถามว่าเวลาแสดงความเห็นได้แล้วในหน้าที่ของตัวเอง ธปท.และนักวิชาการทำอะไรบ้าง ทุกคนต่างมีหน้าที่ และในหน้าที่ของตัวเองได้ทำหรือยัง
"เรื่องทฤษฎีพูดง่าย แต่ทฤษฎีที่พูดมานั้น แต่ละคนทำอะไรบ้าง นักวิชาการบอกเศรษฐกิจไม่มีการกระจาย มีความเหลื่อมล้ำ นักวิชาการที่พูดได้ ทำอะไรที่ลดความเหลื่อมล้ำหรือยัง เวลาคอมเม้นท์ว่าปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจไม่กระจายตัว อยากถามว่าแล้วทำอะไรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำบ้าง เช่น ธปท.ที่คิดว่ามีหน้าที่รักษาเสถียรภาพ ถ้าคิดแค่นั้นมันก็จบ แต่ที่ผ่านมาก็มาสัญญากับคลังทุกปีว่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้น ธปท.ก็ควรรู้หน้าที่ว่าจะทำอะไร" รมว.คลัง ระบุ
พร้อมมองว่าโครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อลงมติตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการเงินออกมา ไม่ต้องรับผิดชอบกับผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นในบางอย่าง เช่น เมื่อทำสิ่งใดแล้วทำให้ ธปท.เกิดผลขาดทุนมากขึ้น ผู้ที่รับผิดชอบกลับกลายเป็นคณะกรรมการ ธปท. ไม่ใช่ กนง.ที่ตัดสินใจอะไรก็ได้ เพียงแต่บอกว่าจะทำให้เศรษฐกิจมั่นคง แต่พอทำแล้วหรือ ถามว่ามั่นคงหรือยัง แล้วตอนนี้มีอะไรที่ไม่มั่นคง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงินเป็นหน้าที่ของ ธปท.ที่จะตัดสินใจ เช่น การกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเชื่อว่า กนง.จะตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลเห็นว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วอาจจะไม่ถูกต้อง ก็จะนำมาตรการการคลังออกมาช่วยเสริม เพียงแต่ในช่วงนี้ที่จะมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในอันใกล้นี้ การนำนโยบายการคลังออกมาใช้ในช่วงนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
"โดยปกติในอดีตที่ทำมา เวลาเขา (ธปท./กนง.) ทำ เขาก็ตัดสินใจไป เมื่อเราดูว่ามันไม่ถูก เราก็เอานโยบายการคลังมาเติมเสริม แต่ช่วงนี้เสริมอะไรไม่ได้...จริงๆ นโยบายการคลังตอนนี้ยังทำได้ แต่เราไม่อยากทำ เพราะเราถือเรื่องมารยาท ทำได้ถ้าเห็นประเทศแย่ และดูไม่ดีจริง เราก็จะทำ ใครไปพูดว่ามาตรการการคลังกระสุนหมด หมดที่ไหน เราแค่รักษามารยาท ไม่ได้อยากยิง" รมว.คลังระบุ