ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.93/95 ใกล้เคียงช่วงเช้า หลังอ่อนค่าจากตัวเลขส่งออกเม.ย.ติดลบ รอติดตามรายงานประชุมเฟดคืนนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 22, 2019 17:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.93/95 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับ ช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.95 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทค่อนข้างผันผวน โดยเงินบาทแข็งค่าสุดที่ 31.94 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ 32.02 บาท/ดอลลาร์ แต่ยังเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่อ่อนค่าสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค โดยหลังจากที่กระทรวง พาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกไทยเดือนเม.ย.62 ติดลบ 2.6% ส่งผลให้เงินบาทในช่วงนั้นปรับอ่อนค่าไปแตะระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ แต่ใน ช่วงบ่ายก็ทยอยปรับแข็งค่าขึ้นมา

คืนนี้ ต้องติดตามว่าในรายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะมีมุมมอง ต่อเศรษฐกิจสหรัฐในระยะต่อไปอย่างไร ซึ่งหากมีมุมมองที่ออกมาดี ก็จะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.85 - 32.00 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 110.44/47 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 110.60 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1160/1170 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1166 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,626.91 จุด เพิ่มขึ้น 16.42 จุด (+1.02%) มูลค่าการซื้อขาย 50,933 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,277.83 ลบ.(SET+MAI)
  • กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเม.ย.62 พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 18,555 ล้าน
ดอลลาร์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.57% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 20,012 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
0.72% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1,457 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการส่งออกที่ลดลงเป็นผลจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะปัจจัยสงคราม
การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งการค้าโลกและอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญชะลอตัวลง
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีแนวโน้มขยายตัวที่
3.3% ต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้ที่ 3.6% เนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อภาคการส่งออก
สินค้าของไทย ซึ่งมากกว่าที่คาดในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา และยังรวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดด้านสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่กลับ
มาปะทุอีกครั้ง ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยโดยตรง โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าส่งออกของไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการ
ผลิตสินค้าจีนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ หมวดแผงวงจรไฟฟ้า
ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า การส่งออกในเดือนเม.ย.62 ที่ลดลง 2.57% นั้น ในระยะต่อไปยังมี
โอกาสที่จะลดลงได้อีก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อ ในขณะที่ไทยเองจะต้องเร่งผลักดันเศรษฐกิจในประเทศ
โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่ปัจจุบันมีโครงสร้างพื้นฐานที่รอการลงทุนอยู่ 7 แสนล้านบาท ซึ่งจะต้องให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาช่วยขับเคลื่อน
  • องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยรายงานสถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WESP) รอบครึ่งปี 2562 โดยระบุ
ว่า เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัว ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข รวมถึงความไม่แน่นอนทาง
การเมืองระหว่างประเทศ และความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อ่อนตัวลง พร้อมกันนี้ UN ได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ ลงมา
อยู่ที่ 2.7% ส่วนปี 2563 อยู่ที่ 2.9%
  • ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ ระบุว่า หากเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแรงลง ก็อาจเป็นปัจจัย
ที่ทำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังคงได้รับแรงผลักดันก็ตาม ซึ่งการปรับนโยบายที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น จะ
เป็นการดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดได้รับ
  • โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดจีน แม้จีนจะถูก
กดดันอย่างต่อเนื่อง จากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนก็ตาม พร้อมระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทรายใหญ่ เช่น เอ็กซอนโม
บิล, เทสลา, บีเอเอสเอฟ, บีเอ็มดับเบิลยู และบริษัทชื่อดังอื่นๆ ทั่วโลก ต่างก็เข้ามาลงทุนในตลาดจีนเพิ่มขึ้น
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ กำลังพิจารณาที่จะขึ้นบัญชีดำบริษัทจำหน่ายกล้องวงจรปิดรายใหญ่ 5 รายของจีน ซึ่ง
รวมถึงบริษัท Hikvision Digital Technology และ บริษัท Dahua Technology ด้วยข้อหากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน

การพิจารณาข้อจำกัดต่อบริษัทเหล่านี้ มีความคล้ายกับที่สหรัฐได้กำหนดต่อบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจะ ตัดขาดบริษัทเหล่านี้จากการเข้าถึงตลาดสหรัฐ และบรรดาซัพพลายเออร์อเมริกัน

  • สภาหอการค้าอเมริกันในจีน และสภาหอการค้าอเมริกันในนครเซี่ยงไฮ้ เปิดเผยผลสำรวจบริษัทสัญชาติอเมริกัน 239 แห่ง

ในตลาด ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 พ.ค. บ่งชี้ว่า บริษัทสหรัฐประมาณ 1 ใน 5 ในจีน กำลังพิจารณาที่จะโยกย้ายฐานการผลิต

บางส่วน หรือทั้งหมดออกจากจีน เพื่อรับมือกับความตึงเครียดด้านการค้า และ บริษัท 1 ใน 3 กำลังเลื่อน หรือยกเลิกการตัดสินใจเรื่อง

การลงทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ