รมว.พาณิชย์ มุ่งยกระดับราคาพืชเกษตร เดินหน้าประกันรายได้-ผลักดันส่งออกเชิงรุก

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 27, 2019 09:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวในหัวข้อ "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลใหม่" จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และคู่แข่งทางการค้าทำให้การทำงานต้องเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น

ทั้งนี้ จากการจัดตั้งครม.เศรษฐกิจ ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงินรวม 3.16 แสนล้านบาท มุ่งเน้นให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ พร้อมกับตั้งเป้าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปีนี้ โต 3% หรือมากกว่านั้น และได้วางแนวทางขับเคลื่อนใน 7 ด้าน ประกอบด้วย 1.เร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ 2.มีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถยังชีพได้ 3.ยกระดับราคาสินค้าเกษตร 4.ช่วยผู้ประกอบการ SME 5.ขับเคลื่อนการส่งออก 6.เร่งรัดตัวเลขการท่องเที่ยว และ 7.การลงทุนภาคเอกชน

ในส่วนกระทรวงพาณิชย์ เน้นเรื่องการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร และเรื่องการส่งออก โดยนโยบายหลักของสินค้าเกษตรคือ เรื่องประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 สินค้า คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม และข้าวโพด

สำหรับการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร ได้เริ่มเดินหน้าจากการประกันราคาปาล์มที่ 4 บาท/กก. เนื้อน้ำมัน 18% ช่วยเหลือไม่เกิน 25 ไร่ วงเงินงบประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยเตรียมนำเสนอครม.ในวันนี้ (27 ส.ค.) และคาดว่าจะเงินส่วนต่างงวดแรกได้ต้นเดือนตุลาคมนี้ พร้อมทั้งเตรียมมาตรการส่งเสริมทั้งการกำหนดให้มีการใช้น้ำมัน B10 เป็นภาคบังคับภายในสิ้นปีนี้ และจัดตั้งทีมติดตามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศเพื่อนบ้าน

มาตรการประกันราคาข้าว วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท เตรียมนำเสนอมาตรการเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในวันนี้ (27 ส.ค.) เช่นเดียวกัน

มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ได้เตรียมประกันรายได้ ยาวแผ่นดิบรมควันชั้น 3 กิโลกรัมละ 60 บาท ไม่เกิน 25 ไร่ ซึ่งเตรียมนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุครม.ต่อไป

นอกจากนี้ ในส่วนของมันสำปะหลัง ที่พบปัญหาการระบาดของโรคใบด่างที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ โดยในขณะนี้ระบาดแล้วประมาณ 9 จังหวัด ซึ่งต้องป้องกันไม่ให้ระบาดออกไปนอกเหนือ 9 จังหวัดนี้ และมันสำปะหลังยังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ทั้งจีน อินเดีย รวมถึงตลาดใหม่ เช่น ตุรกีหรือนิวซีแลนด์ เป็นต้น

ในด้านการส่งออก รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า มีทิศทางชัดเจนที่จะผลักดันให้ตัวเลขส่งออกเป็นบวกต่อเนื่อง หลังจากตัวเลขส่งออกเดือนกรกฎาคมบวก 4.28% โดยจะให้ภาคเอกชนเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนการส่งออกนำรายได้เข้าประเทศ ส่วนกระทรวงจะทำหน้าที่ให้การสนับสนุนและช่วยแก้ปัญหาให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนได้เต็มที่

พร้อมกับได้มีการจัดตั้งการประชุมร่วมวอร์รูมภาครัฐเอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ซึ่งจะมีการติดตามพืชเกษตรเป็นรายชนิด

สำหรับมาตรการเร่งรัดการส่งออกจะมีการฟื้นตลาดเก่า โดยเฉพาะตลาดอิรัก ซึ่งเดิมเรามีสัมพันธ์ที่ดีแต่ได้สูญเสียตลาด เพราะมีบริษัทส่งข้าวไม่มีคุณภาพให้กับอิรัก ทำให้ความสัมพันธ์ในเรื่องการค้าข้าวระหว่างไทยกับอิรักเสียหายมาจนถึงวันนี้ และทางกระทรวงพาณิชย์เตรียมเดินหน้าฟื้นความสัมพันธ์และหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมนำคณะเอกชนไปเยือนอิรัก เพื่อทำการค้าข้าวใหม่อีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีตลาดจีนที่มีการการทำ MOU ระหว่างไทยกับจีนที่จีนจะรับซื้อข้าวจากประเทศไทย 2 ล้านตัน แต่ยังมีค้างท่ออยู่ 1.3 ล้านตัน ซึ่งจะดำเนินการเจรจากับจีนต่อไป โดยจะขอให้จีนรับซื้อข้าวหอมมะลิหรือข้าวหอมจากประเทศไทยแทนข้าวขาวมากขึ้นในโควตาข้าวที่ค้างท่อ

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ต้องเร่งการส่งออกตามแนวชายแดน ซึ่งในวันที่ 31 ส.ค.-1 ก.ย.นี้ จะนำคณะไปประชุมที่เขตชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อหาความร่วมมือการส่งออกสินค้าตามแนวชายแดนต่อไป ซึ่งจะมีการประชุมแบบนี้กับประเทศรอบบ้านอื่นๆด้วย

นอกจากนี้ ยังจะมีการดำเนินการเชิงรุก ในเรื่องที่เกี่ยวกับการผลักดันให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลก สามารถทำหน้าที่เป็นทูตมืออาชีพ เป็นพนักงานขายกิตติศักดิ์ ซึ่งต้องเข้าใจในตัวสินค้าของไทยเป็นอย่างดี เพื่อช่วยทำหน้าที่ด้านการตลาดด้วย

รวมไปถึงการขยายตลาดไม่ว่าจะเป็น 16 ประเทศในกลุ่มอาร์เซ็ป หรืออาเซียน+6 ซึ่งได้มีการไปประชุมเจรจาที่ปักกิ่งและมีข้อตกลงที่มีแนวโน้มว่า ข้อตกลงจะจบกันได้ในสิ้นปีนี้ด้วย และยังต้องเดินหน้าเจรจา FTA ทั้งไทย-ยุโรป ไทย-อังกฤษ และอีกหลายประเทศรวมทั้งไทย-ตุรกี ไทย-ปากีสถาน ไทย-ศรีลังกา ที่จะเดินหน้าในเรื่องเกี่ยวกับ FTA ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ