พาณิชย์ จัดสัมมนาการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตัวเอง ช่วยลดค่าใช้จ่าย-เพิ่มความสะดวกให้ผู้ส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday September 3, 2019 14:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดการสัมมนาเรื่อง "เพิ่มขีดความสามารถการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-Certification)" เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ส่งออกในการใช้สิทธิประโยชน์จากการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนมาก อาทิ ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ตัวแทนส่งออก-นำเข้าสินค้า หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เป็นต้น

การสัมมนาในครั้งนี้ เป็นการติวเข้มให้ผู้ส่งออกได้เรียนรู้ถึงหลักเกณฑ์การผลิตเพื่อให้ได้ถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้กรอบ ATIGA ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการคำนวณต้นทุนการผลิตสินค้าที่ส่งออกให้ได้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าไทย และยังเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการพิสูจน์ถิ่นกำเนิดสินค้า เมื่อศุลกากรประเทศผู้นำเข้าขอตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าที่ส่งออกไปย้อนหลัง (Post Verification) โดยทราบถึงกรอบระยะเวลาที่ผู้ส่งออกต้องชี้แจง ตลอดจนเอกสารที่ต้องแสดงต่อศุลกากรประเทศผู้นำเข้า และยังเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าในกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีอื่นๆ เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน อาเซียน-จีน อาเซียน-ญี่ปุ่น เป็นต้น

"การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ส่งออก ในการส่งสินค้าไปประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ การทราบกฎถิ่นกำเนิดสินค้าช่วยให้ผู้ส่งออกผลิตสินค้าได้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนดของสินค้าที่ส่งออก ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้นำเข้าสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่" อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าว

นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน 2563 จะมีการใช้การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (ASEAN Wide Self-Certification) โดยจะรวมโครงการนำร่องการรับรองฯ โครงการที่ 1 และโครงการที่ 2 เข้าด้วยกัน ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ของไทยภายใต้กรอบความตกลงทางการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) อีกด้วย

นายอดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้ส่งออกไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนในโครงการนำร่องที่ 1 จำนวน 211 ราย และโครงการนำร่องที่ 2 จำนวน 124 ราย รวมทั้งสิ้น 335 ราย มีมูลค่าการส่งออกโดยใช้สิทธิในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ตั้งแต่ปี 2559 – 2562 (มกราคม – มิถุนายน) มูลค่าเท่ากับ 963 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 1,550 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 2,615 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 1,056 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ