RISE ร่วมกับพันธมิตรองค์กรธุรกิจชั้นนำจัด RISE. AI Demo Day แสดงผลงาน 30 สตาร์ทอัพตอบโจทย์ใช้ AI

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 26, 2019 17:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Regional Corporate Innovation Powerhouse) หรือ RISE กล่าวภายในงาน RISE.AI Demo Day 2019 ว่า RISE ร่วมกับพันธมิตรองค์กรธุรกิจชั้นนำ ได้แก่ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ในเครือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.), กรุงศรี ฟินโนเวท ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา , ไทยรัฐ, Enterprise Singapore และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จัดงาน RISE.AI Demo Day 2019 เพื่อแสดงผลงาน 30 สตาร์ทอัพจากทั่วโลกที่เข้าร่วมโปรแกรม RISE.AI ซึ่งเป็นโปรแกรมเร่งสปีดการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในองค์กรและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง RISE กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเติบโตและมีผลกระทบอย่างมากต่อทั้งธุรกิจและสังคม ทำให้องค์กรต่าง ๆ หันมาสนใจการพัฒนาเทคโนโลยี AI มากขึ้น เนื่องจากจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ก่อให้เกิดการแข่งขันและสร้างรายได้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโปรแกรม RISE.AI เป็นโปรแกรมเร่งสปีดการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในองค์กรโดยมีการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรพาร์ทเนอร์ที่ครอบคลุมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก และจากความเชี่ยวชาญของ RISE ในการนำ AI มาใช้ พัฒนานวัตกรรมองค์กร เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและนำไปใช้ได้จริง เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจและสามารถตอบโจทย์ขององค์กรชั้นนำได้ด้วยการเชื่อมต่อแนวคิดเชิงนวัตกรรมเข้ากับแนวทางปฏิบัติที่ประยุกต์ใช้ได้ในการเร่งสปีดการพัฒนาเทคโนโลยี AI

สตาร์ทอัพชั้นนำ 30 ทีมจากทั่วโลกที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้าย ประกอบด้วย

1.ABEJA (ญี่ปุ่น) เป็นแพลตฟอร์มที่รวมเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยและช่วยให้สามารถทำการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนด้วยข้อมูลที่สะสม นอกจากนี้แพลตฟอร์ม ABEJA ยังเสนอบริการที่หลากหลายที่เหมาะสำหรับธุรกิจค้าปลีก การผลิต และโครงสร้างพื้นฐาน

2.ABIVIN (เวียดนาม) ให้บริการโซลูชั่นครบวงจรสำหรับ WMS (ระบบการจัดการคลังสินค้า) และ TMS (ระบบการจัดการการขนส่ง) มีความเชี่ยวชาญในการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางสินค้าคงคลัง

3.ADVANCE.AI (สิงคโปร์) นำเสนอแพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูล เปลี่ยนอุตสาหกรรมดั้งเดิมและตลาดเกิดใหม่ทั่วเอเชียแปซิฟิก ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท VC ชั้นนำจาก Silicon Valley

4.Antworks (สิงคโปร์) แพลตฟอร์ม AntWorks ANTstein สร้างข้อมูลดิจิทัลสำหรับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย สร้างบอท(bots) ที่เหมือนมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่ low-code / no-code คิดค้นวิธีใหม่ในการทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนเป็นไปโดยอัตโนมัติ

5.AnyMind (สิงคโปร์) เป็นองค์กรที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมผ่านปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมการตลาดโซลูชันแบบ end-to-end โดย บริษัทภายใต้กลุ่ม AnyMind ครอบคลุมการตลาดที่มีอิทธิพลการโฆษณาเชิงโปรแกรมและดิจิตอล และการสร้างรายได้จากสำนักพิมพ์ สำหรับอุตสาหกรรมทรัพยากรมนุษย์

6.ARIS (ประเทศไทย) สร้างโซลูชันการค้าปลีกออนไลน์อัตโนมัติ ที่นำเสนอเซสชั่นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่สวยงามและใช้งานง่ายด้วย AI ChatBot ที่สามารถทำการขายอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การเลือกผลิตภัณฑ์ไปจนถึงรายละเอียดการจัดส่ง

7.Atomionics (สิงคโปร์) สร้างเซ็นเซอร์อะตอมที่ควบคุมคุณสมบัติเชิงกลของควอนตัมของอะตอมทำให้สามารถวัดค่าพารามิเตอร์ได้ด้วยความแม่นยำที่สูงขึ้นถึง 1000x นำไปสู่วิธีการใหม่ในการกำหนดตำแหน่งทั่วโลกและการสำรวจแหล่งที่มา

8.Backyard (ประเทศไทย) รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องจักรและการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) ให้ข้อมูลการวิเคราะห์ในแดชบอร์ดบนเว็บที่ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพของฟังก์ชั่นการขายและการตลาดของลูกค้า

9.Cinnamon (ญี่ปุ่น) คือการเริ่มต้นระบบ Enterprise AI ระดับโลก ซึ่งให้บริการเครื่องอ่านเอกสาร AI เพื่อทำการดึงข้อมูลจากเอกสารที่ไม่มีโครงสร้างไปยังอุตสาหกรรมการเงินโดยอัตโนมัติ

10.Claim Di (ประเทศไทย) เป็นการเริ่มต้นของ InsureTech ที่อำนวยความสะดวก การสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และ บริษัทประกันภัย ช่วยให้กระบวนการอ้างสิทธิ์ทำได้ง่ายและเร็วขึ้น ไม่เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง ปัจจุบัน Claim di ก้าวไปข้างหน้าอย่างมากในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อช่วยให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

11.Cloudbreakr (ฮ่องกง) เป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อผู้ชาญฉลาดที่เชื่อถือได้ เพื่อค้นหาผู้สร้างเนื้อหาในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อการสนับสนุนการขายและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจโดยใช้ novel matching algorithm

12.Digital Dialogue (ประเทศไทย) นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์(AI) ให้ความสำคัญกับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP)

13.H3 Dynamics (สิงคโปร์) เป็นบริษัทเน้นเรื่องการบำรุงรักษาและระบบการรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ

14.HiBot (ญี่ปุ่น) หุ่นยนต์ตรวจสอบสำหรับอุตสาหกรรม มีความเชี่ยวชาญในการใช้งาน 3D: Dirty, Demanding และ Demeaning โดยเชื่อว่าหุ่นยนต์ควรใช้เป็นเครื่องมือสำหรับมนุษย์ เพราะบางพื้นที่มันอันตรายเกินไปหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้มนุษย์ทำ

15.Firebox.AI (สิงคโปร์) เป็นระบบจัดการเอกสารองค์กรแห่งแรกของโลกที่ใช้ AI เพื่อทำความเข้าใจกับเอกสารรูปภาพและวิดีโอที่อัปโหลดและอนุญาตให้ผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาภายในด้วยภาษาธรรมชาติ (NLP) และยังป้องกันเอกสารลับจากการโจรกรรมและกิจกรรมของผู้ใช้ที่น่าสงสัยโดยอัตโนมัติ

16.iApp Technology (ประเทศไทย) ผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) เน้นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP)

17.Insight Robotics (ฮ่องกง) คือการเปิดใช้การจัดการความเสี่ยงแบบแอคทีฟของสินทรัพย์ของโลก โดยการสร้างและทำความเข้าใจกับข้อมูล

18.Jump AI by SnapLogic (ประเทศไทย) พัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทำให้ผู้ใช้งานด้านไอทีและธุรกิจสามารถสร้างท่อส่งข้อมูลที่มีคุณภาพและปรับขนาดได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกับคนที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมและทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันในสถานที่หรือในระบบคลาวด์

19.Lawlity by ACAYA (ประเทศไทย) เป็นสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านกฎหมาย ที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทางกฎหมายและการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP)

20.Nearthlab (เกาหลีใต้) เป็นบริษัทโดรนอิสระที่มุ่งเน้นการใช้ AI สำหรับการตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างและการบำรุงรักษาแบบคาดการณ์ล่วงหน้า

21.OhmniLabs (เวียดนาม) บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในการสร้างโมดูลหุ่นยนต์ที่มีความยืดหยุ่นและกระบวนการผลิตสารเติมแต่งที่ปรับขนาดได้ หุ่นยนต์ Ohmni ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเป็นหุ่นยนต์ทางไกลเสมือนจริงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ โดยวิธีการเชื่อมต่อจากบ้าน, ธุรกิจ, ห้องเรียน ไปยังโรงพยาบาล

22.Popular Robotics (ประเทศจีน) แพลตฟอร์มเครือข่ายการศึกษาและโซเชียลยอดนิยมของ Robotics; Robociti ปฏิวัติวิธีการสอนของวิทยาการหุ่นยนต์ โดยทำให้ทุกคนเรียนรู้วิธีสร้างหุ่นยนต์ใช้ในชีวิตประจำวันและเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ง่าย

23.Primo (ประเทศไทย) เป็นแพลตฟอร์มการโปรโมทข้ามออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถหาลูกค้าใหม่และเพิ่มความภักดีในกลุ่มลูกค้าเดิมด้วยการโปรโมทข้ามกัน

24.Pulsifi (สิงคโปร์) เป็นแพลตฟอร์มการวิเคราะห์การคาดการณ์ทรัพยากรบุคคลที่ใช้วิทยาศาสตร์ข้อมูลจิตวิทยาและเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้องค์กรชั้นนำสามารถแยกแยะ รักษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดี เพื่อความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว

25.Ricult (ประเทศไทย) โซลูชั่นดิจิทัลทางการเกษตรสำหรับผลผลิตและการทำกำไรของเกษตรกรรายย่อย มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นส่วนประกอบสำคัญของการเกษตรแห่งอนาคต พร้อมข้อมูลเชิงลึกด้านการเกษตรและการวิเคราะห์ตลาด

26.r4 (สหรัฐอเมริกา) เป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการจัดการข้ามองค์กร นำเสนอผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น ในปี พ.ศ. 2562 ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ขายที่ยอดเยี่ยมของ Gartner ใน AI Core Technologies

27.Qlue (อินโดนีเซีย) เป็นบริษัทจัดการแรงงานที่ใช้เทคโนโลยี AI vision และ BI ที่ครอบคลุม ภารกิจหลักคือการเร่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกโดยทำงานร่วมกันสำหรับอินโดนีเซีย

28.SkynetSystems (ประเทศไทย) สร้างอินเทอร์เฟซระบบสำหรับการส่งคำสั่งซื้อซึ่งสามารถรับใบสั่งขายจากระบบการซื้อขายแบบอัลกอริทึม (Algorithm)

29.Uni Ubi (ประเทศจีน) เทคโนโลยี Facial Recognition พร้อมโซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัย

30.StaffAny (สิงคโปร์) เป็นโซลูชั่นการจัดการแรงงานสำหรับพนักงานรายชั่วโมง ช่วยการทำงานโดยการเชื่อมต่อแรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายแพทย์ศุภชัย กล่าวว่า RISE ตั้งเป้าเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไทย (GDP) ภายใน 5 ปี (60-65) ที่ระดับ 1% หรือคิดเป็นมูลค่า 120,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 0.25% คิดเป็นมูลค่าที่ 30,000 ล้านบาท ผ่านการดำเนินธุรกิจใน 4 ด้าน ได้แก่ Corporate Accelerator เช่น RISE.AI หรือโปรแกรมเร่งสปีดนวัตกรรมในด้าน AI สำหรับองค์กร

นอกจากนั้น ทั้งนี้ RISE ยังตั้งเป้าเป็น Corporate Innovation Powerhouse อันดับ 1 ในเอเชีย หรือเป็นสถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรเบอร์ 1 ในเอเชีย จากปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"ในอนาคตต่อไปข้างหน้าการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP โดยรวมของประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการจัดโปรแกรม RISE.AI จะช่วยให้ องค์กรระดับภูมิภาคต่างๆ สามารถปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมและยกระดับผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบัน อุตสาหกรรม AI กำลังเติบโตและมีผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวม ทั้งในด้านธุรกิจและสังคม ซึ่งองค์กร และภาคธุรกิจ จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแนว ทางการดำเนินธุรกิจ การปฏิรูปวิธีการ และเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เพื่อให้องค์กรสามารถทำธุรกิจของตนเองและแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมในระดับโลก"

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 1/63 RISE ก็มีแผนออกโปรแกรม "Global Accelerator Program" โดยเข้าไปร่วมมือกับบริษัทขนาดใหญ่ที่เกี่ยวกับ Food และ Age Culture เพื่อช่วยบริษัทดังกล่าวหาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และหาธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ จากทั่วโลก และในไตรมาส 2/63 ก็จะขยายไปสู่ธุรกิจเฮลแคร์ และไบโอเทคต่อไป โดย RISE คาดหวังมีบริษัทฯ เข้าร่วมจำนวน 10-20 บริษัททั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ