CIMBT คาดกนง.รอบหน้าลดดอกเบี้ยพยุงเศรษฐกิจท่ามกลางแนวโน้มความเสี่ยงในอนาคต

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday October 1, 2019 16:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 6 พ.ย.62 จากปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% จะลดเหลือ 1.25% เนื่องจากเห็นแนวโน้มตัวเลขและเหตุการณ์ในอนาคตส่งสัญญาณที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจลดดอกเบี้ย

อนึ่ง นโยบายการเงินพิจารณาสามปัจจัยสำคัญ นั่นคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาสินค้า และเสถียรภาพทางการเงิน ตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตามภาวะเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การส่งออกหดตัวต่อเนื่อง กระทบการลงทุนและการบริโภคในประเทศ

"วันนี้ มีสองในสามปัจจัยที่ส่งสัญญาณว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้า คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และราคาสินค้า เป็นที่แน่ชัดว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวต่ำกว่าศักยภาพ ธปท.เองได้ออกมาปรับประมาณการลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ เดือนสิงหาคมเงินเฟ้อหลุดกรอบล่างที่ 1% และมีแนวโน้มต่ำต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมัน ส่วนหนึ่งเกิดจากความเสี่ยงที่มาจากอุปสงค์อ่อนแอ"

นอกจากเศรษฐกิจชะลอตัวแล้ว นโยบายการเงินจะพิจารณาแนวโน้มตัวเลขและเหตุการณ์ในอนาคตด้วย อย่างที่เห็นในการประชุมเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ไม่ได้มีสัญญาณการลดดอกเบี้ยหรือเสียงแตกจากคณะกรรมการ กนง.ในรอบก่อนหน้า แต่สุดท้าย กนง.ปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งน่าจะมาจากแนวโน้มตัวเลขและเหตุการณ์ในอนาคต ประกอบด้วย ปัจจัยความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐจากจีน แม้ยังไม่เกิดขึ้นในเดือนนั้น แต่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในอนาคต

"เปรียบเหมือนดูกระจกมองหลังเวลาขับรถไปข้างหน้า ดูให้รู้ว่ามีสัญญาณอะไรหรือใช้เปลี่ยนเส้นทางและดูข้างหน้าเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความเร็วว่าจะแตะเบรกหรือขึ้นดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจวิ่งแรงเกินไป หรือจะเหยียบคันเร่งหรือลดดอกเบี้ยให้เศรษฐกิจเร่งขึ้น"

ขณะที่การประชุมในรอบปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา กนง.คงดอกเบี้ยอาจเพราะยังห่วงเสถียรภาพในตลาดการเงินที่นักลงทุนยังเข้าลงทุนโดยไม่ได้ประเมินความเสี่ยงดีพอ และการเข้าลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ ขณะที่หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น หนี้เสียมีมากโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก

"ผมเห็นใจผู้กำหนดนโยบายที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกว่าจะเลือกเดินทางไหนดี เพราะเมื่อมองไปข้างหน้าล้วนมีความเสี่ยงให้เศรษฐกิจโตช้าลง ไม่เพียงสงครามการค้าที่ยังคงลากยาวและอาจรุนแรงขึ้น ขณะที่อุปสงค์ในประเทศมีท่าทีชะลอลง โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มาช้า และไทยมีความเสี่ยงที่จะตกขบวนรถไฟของการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาอาเซียน เพราะบริษัทข้ามชาติเหล่านั้นอาจเลือกเวียดนามแทน"นายอมรเทพ กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อสงครามการค้าที่ลากยาวส่งผลกระทบการส่งออกให้หดตัว ผู้ผลิตลดกำลังการผลิต ชั่วโมงการทำงานถูกตัด และรอบนี้ไม่เพียงภาคบริการและอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอ เพราะภาคเกษตรเองก็ไม่แข็งแรง จากภัยธรรมชาติทั้งฝนแล้งและน้ำท่วมในหลายจังหวัดได้มีผลต่อปริมาณการผลิตและรายได้ภาคเกษตร แม้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐจะมีแต่ก็ทำได้เพียงประคองกำลังซื้อเขาไว้ เราอาจรอผลมาตรการกระตุ้นการบริโภคแต่อาจมีไม่มากเพราะงบประมาณภาครัฐเองก็มีจำกัด อีกทั้งงบประมาณปี 2563 ที่ปกติจะเริ่มวันนี้ก็มีความจำเป็นต้องรอให้ผ่านสภาฯ ในช่วงต้นปีหน้า

ขณะที่ปัจจัยสำคัญคือบาทแข็งค่าแรงยังคงกดดันและกระทบผู้ส่งออก แต่การที่บาทแข็งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง เป็นที่สนใจของนักลงทุนที่มาพักเงินในช่วงความผันผวนมีมาก ซึ่งการลดดอกเบี้ยลงน่าจะลดแรงจูงใจนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง

ด้านเสถียรภาพ ที่ผ่านมาทาง ธปท.ได้มีมาตรการดูแลคุณภาพสินเชื่อ และต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเกณฑ์สินเชื่อบ้าน และน่าจะลดพฤติกรรมเก็งกำไรได้มาก แต่ต้องเข้าใจว่าแม้ลดดอกเบี้ยไป สินเชื่อก็อาจไม่ได้ขยายตัวแรง เพราะธนาคารพาณิชย์ยังคงกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อและมีข้อกำกับมากมาย แต่ก็น่าจะคลายความกังวล ลดต้นทุนทางการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นได้บ้าง

หลังจาก กนง.ลดดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 1.25% แล้ว อย่าเชื่อว่าดอกเบี้ยต่ำสุดได้เพียง 1.25% ภาพจำว่าดอกเบี้ยต่ำสุดคือ 1.25% มาจากในช่วงวิกฤติการเงินโลก กนง.ลดดอกเบี้ยจากระดับ 3.75% ปลายปี 51 ลงสู่ระดับ 1.25% ในเดือน เม.ย.ปีถัดมา หลังจากนั้นในช่วงไตรมาส 2/52 เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 3.1% แต่ถึงขั้นนั้น กนง.ก็ไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงอีก ยังคงที่ 1.25% ส่วนหนึ่งอาจเพราะภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวได้เร็ว ก็อาจสนับสนุนได้ว่าดอกเบี้ยต่ำเพียงพอในการประคองเศรษฐกิจในขณะนั้น

อย่างไรก็ดี ไม่เชื่อว่าดอกเบี้ยไทยจะลงไปต่ำกว่า 1.25% ไม่ได้ แม้วันนี้ไม่ใช่ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ แต่อยู่ในจุดที่อาจไม่จำเป็นต้องให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับเช่นในอดีตคือ 1.25%

"ผมมองว่าในภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบมาก โดยเฉพาะหลังธนาคารกลางสำคัญได้ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณและขยายงบดุลของธนาคารกลางมาก่อนหน้า เราจึงไม่อาจมองภาพนโยบายการเงินวันนี้เทียบอดีตได้ แต่ผมยังหวังว่าเรายังไม่ต้องลดดอกเบี้ยลงอีก และอาจใช้มาตรการอื่น โดยเฉพาะมาตรการทางการคลังแทน

แต่ภาวะความเสี่ยงดอกเบี้ยขาลงเช่นนี้ ผู้ฝากเงินน่าจะล็อกเงินฝากระยะยาว ผู้กู้ใช้ดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่ระวังการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงไว้บ้างตามภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มีผลต่อกำไรบริษัท แต่เมื่อสภาพคล่องมีสูงขึ้น ก็อาจทำให้สินทรัพย์เสี่ยงมีความน่าสนใจได้อีกครั้ง" นายอมรเทพ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ