ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดเงินบาทผันผวนทั้ง 2 ด้านต่อเนื่องถึงปีหน้าหลังแข็งค่าสุดรอบ 6 ปีแซงเพื่อนบ้าน

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 10, 2019 10:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ เงินบาทขยับแข็งค่าทดสอบแนว 30.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่ นับตั้งแต่เดือนมิ.ย.56 และเมื่อเทียบกับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแล้ว เงินบาทยังคงเป็นสกุลเงินที่มีอัตราการแข็งค่ามากที่สุด โดยแข็งค่าขึ้นแล้วในปีนี้ประมาณ 7.4% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ และค่อนข้างจะทิ้งห่างสกุลเงินของประเทศเพื่อนบ้านที่ตามมาเป็นอันดับ 2 และอันดับ 3 อย่างเงินรูเปียห์ และเงินเปโซ ที่แข็งค่าขึ้นในปีนี้เพียง 2.8% และ 1.8% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ ตามลำดับ

ทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทน่าจะถูกอธิบายโดยฐานะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและมุมมองของนักลงทุนที่ว่า เงินบาทเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยมากกว่าการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศ โดยอาจกล่าวได้ว่านอกเหนือจากการคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยพื้นฐานของเงินบาท (อาทิ สถานะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง) แล้ว

อีกปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในลักษณะที่เป็นการสวนทางสกุลเงินเอเชียอื่นๆ นั้น น่าจะเป็น "มุมมอง"ของตลาดที่ประเมินว่าเงินบาทเป็นสกุลเงินปลอดภัยในยามที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงโดยเฉพาะในช่วงภายในเดือน ต.ค. นี้ ที่มี 2 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าทั้ง 2 ประเทศน่าจะยังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ขณะที่อัตราภาษีของสหรัฐฯ ที่เก็บจากวงเงินสินค้านำเข้าจากจีน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ กำลังจะขยับขึ้นไปที่ 30% จาก 25% ในวันที่ 15 ต.ค. 2562 ที่จะถึงนี้

และ 2) ความเสี่ยงจากกรณี BREXIT แบบไร้ข้อตกลงขณะที่อังกฤษกำลังนับถอยหลังเข้าใกล้เส้นตายสิ้นเดือน ต.ค.62 นี้ ทั้งนี้ สัญญาณความกังวลเพิ่มสูงขึ้นก่อนการประชุม EU summit ระหว่างวันที่ 17-18 ต.ค. นี้ เนื่องจากสหภาพยุโรปและอังกฤษยังคงมีความเห็นในรายละเอียดของหลายประเด็นที่แตกต่างกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาททำให้ไทยเสียเปรียบด้านความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกและท่องเที่ยว และอาจเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย เพราะนอกจากเงินบาทจะขยับแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ มากกว่าสกุลเงินอื่นๆ อาทิ เงินรูเปียะห์อินโดนีเซีย เงินเยนญี่ปุ่นและเงินเปโซฟิลิปปินส์แล้วและเงินบาทยังแข็งค่าสวนทางเงินเอเชียอีกหลายสกุลที่ปรับตัวในทิศทางที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ อาทิ เงินวอนเกาหลีใต้ เงินหยวนจีน เงินรูปีอินเดีย เงินริงกิตมาเลเซีย และเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ด้วยเช่นกัน

ทิศทางค่าเงินบาทอาจผันผวนได้ทั้ง 2 ด้านในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของ 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสถานการณ์ของการเมืองภายในสหรัฐฯ ในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือน พ.ย.63 โดยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีผลในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยของเฟด โดยในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่เผชิญกับภาวะถดถอย มองว่าแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่า น่าจะทยอยลดน้อยลง โดยเฉพาะในช่วงหลังจากที่เฟดสามารถยุติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นราวช่วงครึ่งแรกของปีหน้า

อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะถดถอยความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในขนาดและจำนวนครั้งที่มากกว่าไทยอาจส่งผลทำให้เงินบาทยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่แข็งค่าได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ปมปัญหาของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสถานการณ์ของการเมืองภายในสหรัฐฯ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทยังคงได้รับแรงหนุนในฐานะที่เป็นสกุลเงินปลอดภัย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในกรณีเลวร้ายที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลงมากกว่าที่คาดในปีหน้า จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เงินบาทก็อาจถูกกดดันให้แข็งค่าขึ้นได้ต่อเนื่องจากการที่ไทยยังคงมีดุลการค้าดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล และมุมมองของนักลงทุนที่ว่าเงินบาทเป็นสกุลเงินปลอดภัยที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกของไทยอาจจะยังคงเผชิญความท้าทายต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ