รายงานกนง. ระบุเสถียรภาพการเงินเปราะบางมากขึ้นกระทบรายได้ภาคธุรกิจ-ครัวเรือน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 19, 2020 10:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 5 ก.พ.63 ซึ่งคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.25% เป็น 1.00% ต่อปี

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิม และต่ำกว่าระดับศักยภาพมากขึ้นมาก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อตลอดช่วงประมาณการ เสถียรภาพระบบการเงินเปราะบางเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

ในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประสานมาตรการทั้งทางการเงินและการคลัง คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้น จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น รวมทั้งสนับสนุนสภาพคล่องและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลชัดเจนขึ้น

การตัดสินนโยบายครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้อภิปรายถึงปัจจัยที่มีผลค่อการพิจารณาดำเนินนโยบายการเงิน ดังนี้

1. เศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้เดิม และต่ำกว่าระดับศักยภาพมากขึ้นมาก จากการระบาดของไวรัสโคโรนา ความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมาก

คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ยังเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยต่างประเทศและปัจจัยในประเทศ ได้แก่ (1) การระบาดของไวรัสโคโรนาที่อาจรุนแรงและยืดเยื้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตและการส่งออก (2) การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งมีนัยต่อแนวโน้มเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทย (3) ความไม่แน่นอนของการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งอาจทำให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่ (4) ความเสี่ยงของภัยแล้งที่อาจรุนแรงกว่าคาดส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและรายได้ภาคเกษตร (5) การบริโภคภาคเอกชนที่อาจชะลอตัวกว่าคาดจากการจ้างงานและรายได้ที่ลดลง

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังกังวลว่าค่าเงินบาทอาจยังไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจากการแข็งค่าต่อเนื่องในปีก่อนหน้า และยังมีแนวโน้มผันผวนสูง แม้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้างเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งในช่วงที่ผ่านมา

2. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 2563 และปี 2564 มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มชะลอลงตามแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อยู่ในระดับต่ำสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงราคาพลังงานที่ต่ำกว่าคาดตามความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา แม้อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดจะปรับเพิ่มขึ้นบ้างจากภัยแล้ง

3. ความเสี่ยงในระบบการเงินได้รับการดูแลไปแล้วบางส่วนด้วยมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินที่ได้ดำเนินการไป อาทิ ความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับดีขึ้นจากมาตรการ LTV สะท้อนจากการเก็งกำไรที่ชะลอลง และการปรับตัวของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ดี ระบบการเงินโดยรวมมีความเปราะบางมากขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือน และธุรกิจ SMEs รวมถึงความเสี่ยงในจุดอื่น ๆ ยังไม่ปรับดีขึ้นและเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม

คณะกรรมการฯ ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง ถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เป็น 1.00% ต่อปี โดยเห็นว่าความเสี่ยงจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และเสถียรภาพระบบการเงินในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ กอปรกับความเสี่ยงต่าง ๆ ข้างต้นเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน

"คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้เหมาะสมและทันการณ์ โดยไม่จำเป็นต้องรอประเมินผลกระทบหลังจากความเสี่ยงชัดเจนขึ้น เพราะหากเกิดผลกระทบรุนแรงจะแก้ไขสถานการณ์ได้ยาก" เอกสารเผยแพร่ระบุ

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ อาจไม่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นมากนัก แต่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้และสนับสนุนการเพิ่มสภาพคล่อง การผ่อนคลายนโยบายการเงินจะต้องผสมผสานกับมาตรการทางการเงินและการคลังอื่น ๆ ที่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิผล และต้องเร่งดำเนินการให้เห็นผลชัดเจนโดยเร็ว ได้แก่

(1) มาตรการเพิ่มสภาพคล่อง อาทิ การให้สถาบันการเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา เช่น พักชำระเงินต้น ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม และ (2) มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ของธุรกิจ SMEs เพื่อให้สามารถผ่อนชำระหนี้และดำเนินกิจการต่อไปได้ (pre-emptive debt restructuring) รวมถึงโครงการคลินิกแก้หนี้ระยะที่ 3

ในระยะข้างหน้า คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของข้อมูล (data-dependent) ทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ เห็นถึงความจำเป็นในการประสานเชิงนโยบาย และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนการฟื้นตัวและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบกับความสามารถในการแข่งขัน และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ