ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอดีตบิ๊กกรมเหมืองแร่กับพวกเอื้อประโยชน์เหมืองทองอัคราฯ ยกเว้นจัดทำ EIA

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 11, 2020 16:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด นายสมเกียรติ ภูธงชัยฤทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กับพวกรวม 6 ราย เอื้อประโยชน์ให้บริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด หรือ บมจ.อัครา รีซอร์สเชส เปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรีเหนือโดยไม่ได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้พิจารณาใหม่

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของนายสมเกียรติ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นายสัจจาวุธ นาคนิยม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 นายชาติ หงส์เทียมจันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนายคันธศักดิ์ แข็งแรง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริตตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 85

ขณะที่การกระทำของบริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด หรือ บมจ.อัครา รีซอร์สเชส ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 และนายปกรณ์ สุขุม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละวนการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละวนการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86

ส่วนนายคำภู คุณารัษ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่าได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหาตกไป

คณะกรรมการ ป.ป.ช.ระบุว่า ภายหลังได้รับเรื่องกล่าวหาแล้วได้มีมติแต่ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องดังกล่าว โดยมี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ปช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ปรากฏข้อเท็จจริงว่าตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั่วไป ซึ่งกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตให้กับบริษัท หากผู้ถือประทานบัตรมีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำเหมือง หรือการดำเนินการที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงาน EIA จะต้องเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ประกอบกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ

ต่อมาบริษัทฯ ต้องการเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างบ่อกักเก็บกากแร่แห่งที่ 2 (TSF2) จากพื้นที่ที่กำหนดไว้ในแผนผังซึ่งผ่านความเห็นชอบตามรายงาน EIA ไปเป็นพื้นที่ที่เคยได้รับอนุญาตให้จัดทำเป็นสถานที่เก็บขังน้ำขุ่นขั้นหรือมูลดินทรายตามใบประทานบัตรที่ 1/2548 ของโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรี (เดิม) เนื่องจากไม่สามารถซื้อที่ดินจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินในบริเวณดังกล่าวได้ ขณะที่บ่อกักเก็บกากแร่แห่งที่ 1 กำลังจะปิดเพราะได้พัฒนามาจนใกล้จะเต็มความจุที่สามารถรองรับกากแร่จากการประกอบโลหกรรมได้

กรรมการผู้จัดการบริษัท จึงมีหนังสือยื่นต่ออุตสาหกรรมจังหวัดขอแก้ไขแผนผังโครงการ ซึ่งรวมถึงเรื่องการย้ายตำแหน่งที่ตั้งของบ่อที่ 2 (TSF2) โดยการยื่นขอแก้ไขดังกล่าว บริษัทฯ ไม่ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของรายงาน EA ในข้อ 4 ที่ต้องเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบด้านสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินการ

จากพยานหลักฐานข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กระทำการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจมีต่อสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงขนาดบ่อกักเก็บกากแร่ที่ใหญ่กว่าเดิม และเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสถานที่ก่อสร้างบ่อกักเก็บกากแร่แห่งที่ 2 (TSF2) ทั้งที่บ่อกักเก็บกากแร่มีความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นสถานที่ทิ้งกากแร่ในการประกอบโลหกรรมซึ่งมีสารไซยาไนด์และสารเคมีต่างๆ ในการประกอบโลหกรรม และมีขนาดพื้นที่กว่า 1,351 ไร่ โดยเปลี่ยนไปก่อสร้าง ณ สถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นขันหรือมูลดินทราย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกี่ยวกับขั้นตอนการ ทำเหมือง เช่น การเปิดเปลือกดินและขุดตักสินแร่ทองคำที่เป็นเพียงสถานที่เก็บเศษหิน ดิน ตะกอน ในการขุดเจาะเหมืองเท่านั้น

ป.ป.ช.ระบุว่า เห็นได้ชัดว่าสถานที่ทั้งสองแห่งมีความแตกต่างกันในสาระสำคัญของการใช้งานและผลกระทบที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นย่อมแตกต่างกันในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม แหล่งน้ำ พื้นที่ทำกิน ที่ตั้งชุมชน และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่ผู้พิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมใช้ในการพิจารณาอนุญาตให้ใช้สถานที่ทั้งสองแห่ดังกล่ว เป็นการกระทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทฯ สามารถเริ่มกระบวนการก่อสร้างบ่อกักเก็บกากแร่แห่งที่ 2 (TSF2) หลังจากได้รับอนุญาตในทันทีเพื่อให้แล้วเสร็จได้ทันรองรับกากแร่จากบ่อกักเก็บกากแร่แห่งที่ 1 ที่กำลังจะปิดตัวลงเนื่องจากได้พัฒนามาจนถึงที่ได้ยื่นแบบอนุมัติไปแล้ว อันเป็นการลดความเสี่ยงในการประกอบโลหกรรมของบริษัทฯ ซึ่งหากกระบวนการก่อสร้างและเปิดใช้งานบ่อกักเก็บกากแร่แห่งที่ 2 (TSF2) ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันเพื่อรองรับกากแร่ต่อจากบ่อกักเก็บกากแร่แห่งที่ 1 (TSF1) จะทำให้เกิดปัญหาในกระบวนการประกอบโลหกรรมซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ ซึ่งอาจทำให้ทางบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินกระบวนการประกอบโลหกรรมต่อไปได้ และจงใจหลีกเลี่ยงขั้นตอนการตรวจสอบจากทางการ

การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกกล่าวหาอาจสร้างความเสียหายให้เกิดแก่สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรรรมชาติ และสร้างปัญหาทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างร้ายแรงได้ เพราะเมื่อขนาดและสถานที่ก่อสร้างบ่อทิ้งเก็บกากแร่แห่งที่ 2 (TSF2) เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมย่อมมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปหรือแตกต่างไปจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับเดิมที่เคยได้รับความเห็นชอบไว้ และเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบราชการ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ