นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) วานนี้มีมติปรับเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินจากกลุ่มดีเซล เข้ากองทุนน้ำมันฯ 50 สตางค์ต่อลิตร แบ่งเป็น ดีเซลบี7 ปัจจุบันเรียกเก็บ 1 บาท/ลิตร เพิ่มเป็น 1.50 บาท/ลิตร ,ดีเซลบี10 จากชดเชย 2.50 บาท/ลิตร ลดเหลือ 2 บาท/ลิตร และดีเซลบี20 จากชดเชย 4.41 บาท/ลิตร เหลือ 3.91 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลง ส่งผลให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับสูง ดังนั้น จึงเรียกเก็บเงินเพื่อลดการชดเชยในกลุ่มดีเซลบี10 และบี20 ลง เพราะปัจจุบันกองทุนน้ำมันมีเงินไหลออก 787 ล้านบาท/เดือน แบ่งเป็น เงินกองทุนน้ำมันฯติดลบ 812 ล้านบาท/เดือน และกองทุน LPG เป็นบวก 30 ล้านบาท/เดือน
ดังนั้น ภายหลังจากปรับอัตราการเรียกเก็บเข้ากองทุนฯในครั้งนี้ จะทำให้สิ้นเดือน มี.ค.63 กองทุนฯจะมีเงินไหลเข้า 352 ล้านบาท/เดือน แบ่งเป็นกลุ่มน้ำมัน 218 ล้านบาท/เดือน และกลุ่ม LPG 134 ล้านบาท/เดือน
นายวีระพล กล่าวว่า การปรับอัตราการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกกลุ่มดีเซลแต่อย่างใด ส่วนกลุ่มเบนซินนั้นพบว่าค่าการตลาดอยู่ในระดับสูง ดังนั้นผู้ค้าน้ำมันจะประกาศปรับลดราคาขายปลีกต่อไป
"ตอนนี้ยอดใช้ดีเซลบี10 จากปัจจุบันอยู่ที่ 10-11 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มเป็น 20-30 ล้านลิตรต่อวัน และยอดใช้ดีเซลบี7 จะลดลง ดังนั้นหากการส่งเสริมการใช้ดีเซลบี10 เพิ่มขึ้นตามแผน คาดว่าในช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้ กองทุนฯจะติดลบ เพิ่มขึ้นเป็น 794 ล้านล้านบาทต่อเดือน และติดลบเพิ่มเป็น 1,858 ล้านบาทในปลายเดือนพ.ค.นี้"นายวีระพล กล่าว
ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 36,196 ล้านบาท แบ่งเป็น ประเภทน้ำมัน 41,699 ล้านบาท และประเภท LPG ติดลบ 5,503 ล้านบาท