ศูนย์วิจัยอาเซียมแบงเกอร์สเปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นเหนือระดับ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อไม่นานมานี้ ได้ทำให้เกิดความเป็นไปได้มากขึ้นว่า รัฐบาลมาเลเซียอาจเริ่มลดเงินอุดหนุนด้านเชื้อเพลิงและใช้นโยบายควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น นายซูไฮมี อิเลียส นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยอาเซียมแบงเกอร์สกล่าวว่า ทันทีที่รัฐบาลปรับขึ้นราคาค้าปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้น 30 เซนต์ต่อลิตรเมื่อเดือนก.พ.2549 นั้น ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปัจจุบันรัฐบาลมาเลเซียกำลังแบกรับค่าใช้จ่ายด้านเงินช่วยเหลือน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 1.92 ริงกิตต่อลิตร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดถึงความเป็นไปได้ในการทบทวนการปรับขึ้นราคาน้ำมันอย่างเป็นทางการ ด้านสำนักงานสถิติมาเลเซียเปิดเผยว่า เงินเฟ้อของมาเลเซียในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ 14.% แต่หากนับตั้งแต่ต้นปีมาเลเซียมีอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2.0% เมื่อเทียบกับระดับ 3.6% ในปี 2549 "เราเห็นถึงปัจจัยเสี่ยงด้านภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อมองถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์เบาในตลาดโลกที่สูงขึ้นและมาตรการเก็บภาษีและสินค้าปลอดภาษีของรัฐบาล ซึ่งเป็นผลจากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราว และการขึ้นราคาภาษียาสูบขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อนในเดือนนี้" ทั้งนี้ มาเลเซียกำหนดภาษียาสูบเพิ่มขึ้น 25% ที่ 15 เซนต่อมวน โดยรัฐบาลให้เหตุผลถึงการกำหนดภาษีว่ามีขึ้น เพราะต้องการที่จะสนับสนุนให้ประชาชนมีสุขภาพดีและลดอัตราการสูบบุหรี่ของประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน นายซูไฮมีคาดว่า เงินเฟ้อของมาเลเซียจะอ่อนตัวลงอยู่ที่ 2.2% ในปีนี้ ก่อนที่จะถีบตัวสูงขึ้น 2.5% ในปีหน้า ขณะที่ธนาคารกลางมาเลเซียคาดการณ์ว่า ธนาคารจะยังคงอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นไว้ในระดับเดิมที่ 3.5% จนถึงปี 2551