ธปท. เผย Q1/63 สินเชื่อแบงก์พาณิชย์โต 4.1% ตามดีมานด์สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่, NPL ขยับขึ้นรับมาตรฐานบัญชีใหม่

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 18, 2020 14:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธาริฑธิ์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้อานวยการอาวุโส ฝ่ายตรวจสอบและวิเคราะห์ความเสี่ยงสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการดาเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1/63 ว่า ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปี 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.1% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยสินเชื่อธุรกิจ (64.8% ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวที่ 3.3% ตามความต้องการใช้สินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายประเภทธุรกิจที่ส่วนหนึ่งกลับมาใช้สินเชื่อแทนการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ในภาวะที่ตลาดการเงินมีความผันผวน ส่งผลให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 5.3%

ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SME (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) หดตัวเล็กน้อยที่ 0.2% สินเชื่ออุปโภคบริโภค (35.2% ของสินเชื่อรวม) ขยายตัว 5.6% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนในทุกประเภทสินเชื่อ ทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ สอดคล้องกับการลดลงของยอดซื้อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตชะลอตัวลงมากตามการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลยังเติบโตได้ในอัตราที่ค่อนข้างสูง

ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาส 1/63 ด้อยลงจากสิ้นปี 62 จากผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจัดชั้นตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan: NPL หรือ stage 3) อยู่ที่ 496.8 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 3.05% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่อยู่ในระดับ 2.98% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 7.70%

ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/63 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 52.9 พันล้านบาท หลังหักรายการพิเศษจากรายได้เงินปันผลที่จ่ายระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในขั้นตอนการควบรวมกัน โดยลดลง 7.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการกันสำรองที่เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารยังทรงตัว โดยอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets: ROA) ลดลงมาอยู่ที่ 1.03% จาก 1.14% ในไตรมาสก่อน

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) เพิ่มขึ้นจากเปลี่ยนแปลงวิธีการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 63 และการปรับลดอัตราเงินนาส่งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund: FIDF) ซึ่งสถาบันการเงินจะดำเนินการส่งผ่านประโยชน์ที่ได้จากการปรับลดด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทต่าง ๆ ให้กับภาคธุรกิจและประชาชนในระยะถัดไป หากไม่รวมผลของการปรับลดเงินนำส่ง FIDF และการปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ พบว่า NIM ทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน

ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,836 พันล้านบาท หรืออัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 18.7% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 719.2 พันล้านบาท หรืออัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) ที่143.3% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤติ (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ที่ 185.7%

นายธาริฑธิ์ กล่าวว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคง ระดับเงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับความต้องการสินเชื่อและความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้ ผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงจากการกันสำรองเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน การเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อของธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ