นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ประเทศในเอเชียควรจะร่วมมือกันเพื่อเตรียมพร้อมป้องกันจากแนวโน้มความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเงินในอนาคต ความร่วมมือในภูมิภาคจะต้องก้าวหน้ามากขึ้นโดยเร็วที่สุด ขณะนี้เกิดปัญหาความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจของโลก โดยมีเงินดอลลาร์สหรัฐไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียจำนวนมาก เป็นเงินประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐมากถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ญี่ปุ่น 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นประเทศในเอเชียควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดความผันผวนจากเงินทุนที่ไหลเข้ามามาก และอาจจะไหลออกไปมากในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงกดดันต่อความสามารถในการจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง "เศรษฐกิจในเอเชียกำลังประสบกับการไหลเข้าของเงินทุนอย่างมหาศาล รวมทั้งการที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และแนวโน้มดังกล่าวยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ประเทศในเอเชียจำเป็นต้องหาหนทางในการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวให้ได้" นายฉลองภพ กล่าวในโอกาสการสัมมนา"การรวมตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย:10 ปีหลังเกิดวิกฤติทางการเงิน" ที่ผ่านมาประเทศในภูมิภาคได้มีความร่วมมือกันด้านอัตราแลกเปลี่ยน และการดำเนินงานโครงการทางการเงินในภูมิภาค ได้แก่ ความตกลงริเริ่มเชียงใหม่ และ การพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย ทั้งนี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหลังเกิดวิกฤตทางการเงิน เอเชียได้กลับมามีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยประมาณ 8.3% ในปี 49 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างมาก เงินสำรองระหว่างอยู่ในระดับสูง หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ และมีอัตราเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าภูมิภาคเอเชียกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาใหม่ที่มีความเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง "ณ วันนี้เราไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินเหมือนเมื่อ 10 ที่แล้ว เรามีหนี้ 27% ของทุนสำรองฯเท่านั้น ถือว่าน้อยมาก แต่ทุนสำรองฯเรามีเหลือเฟือ แต่เราก็ยังต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะมีเหตุการณ์ที่ต้องจะต้องใช้ทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีการเทขาย" นายฉลองภพกล่าว ด้านนายจอง หวา ลี หัวหน้าสำนักงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ธนาคารพัฒนาเอเชีย กล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาการจัดการการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ได้ผลชะงักงัน แต่ประเทศในภูมิภาคควรจะยังคงดำเนินการปฏิรูปต่างๆ และเสริมสร้างระบบการเงินภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น