ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.29 แกว่งแคบจากช่วงเช้า จับตาสถานการณ์โควิด-ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ, แคนดิเดทผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 10, 2020 17:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ที่ระดับ 31.29 บาท/ดอลลาร์ จากตอนเช้าที่ เปิดตลาดที่ระดับ 31.28 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันแคลื่อนไหวระหว่าง 31.27-31.35 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือน

"ยังมีแรงซื้อดอลลาร์เข้ามา เข้าใจว่าส่วนหนึ่งมาจากธุรกรรมที่เกี่ยวกับทองคำ"นักบริหารเงินกล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงต้นสัปดาห์หน้าไว้ระหว่าง 31.15.31-35 บาท/ดอลลาร์ โดยให้ติดตามสถานการณ์โควิดในสหรัฐฯ การปิด-เปิดเมือง ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ บุคคลที่จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังสิ้นสุดการรับสมัครในวันนี้

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 106.75 เยน/ดอลลาร์ จากตอนเช้าที่อยู่ที่ระดับ 107.03 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1297 ดอลลาร์/ยูโร จากตอนเช้าที่อยู่ที่ระดับ 1.1274 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,350.50 จุด ลดลง 15.31 จุด, -1.12% มูลค่าการซื้อขาย 64,196.73 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,171.68 ลบ.(SET+MAI)
  • คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านแนวทางการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์
โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานในช่วงเช้าวันนี้ว่า ฝ่ายภาคเอกชนมีข้อเสนอให้จัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-
19 รวมถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการลดภาระ เช่น การขยายเวลาพักชำระหนี้ การเสริมสภาพคล่อง เป็นต้น พร้อม
กับกระตุ้นการท่องเที่ยววันธรรมดา และส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง นอกจากนั้น ยังเสนอให้นำโครงการชิมช้อปใช้มาดำเนินการอีก
ครั้งเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
  • รมว.คลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ว่า ที่ประชุมสรุป 3
มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดจากโควิด-19 หลังจากที่ผ่านมาได้มีมาตรการ
ออกมาช่วยเหลือแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ
คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อวันที่ 7 ก.ค.63 โดยเห็นว่าความเสี่ยงระบบการเงินเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์การแพร่
ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอน ดังนั้น การเตรียมพร้อมมาตรการเชิงป้องกันจึงมีความจำเป็น
  • กรมสรรพากร คาดว่าจะเริ่มจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลแพลตฟอร์มในต่างประเทศ (e-
Service) ได้ในปี ภาษี 64 หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีแพลตฟอร์มดิจิตอลต่างชาติ
ไปเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งขั้นตอนจากนี้จะเสนอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา หากเห็นชอบก็จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ต่อไป และหลังจากนั้น 6 เดือนจึงจะเริ่มจัดเก็บได้
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดตัวโครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2020 ร่วมกับพันธมิตร
และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 15 กันยายน 2563 เป็นเวลา 2 เดือน ภายใต้แนว
คิด "NON STOP SHOPPING" เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่พานักในประเทศไทย และส่งเสริม
ภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็น Shopping Destination รวมถึงเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหลังวิกฤติการ
แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
  • คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในตราสารที่ต่ำ
กว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (high yield bond) เพื่อช่วยเหลือบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องภายใต้สถานการณ์การ
ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ (bridge financing) สร้างสภาพ
คล่องและเสถียรภาพให้กับตลาดตราสารหนี้ high yield bond รวมถึงเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนรายใหญ่เปลี่ยนมาลงทุนผ่านมืออาชีพแทน
การลงทุนโดยตรงในตราสารดังกล่าว
  • สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของประเทศสมาชิกสหภาพ
ยุโรป (EU) ซึ่งจะมีขึ้นผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอรเรนซ์ในวันนี้ คาดว่าจะมุ่งหารือเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19
และมาตรการฟื้นฟูของ EU

ขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะนำเสนอผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ใน ระหว่างการประชุมครั้งนี้ด้วย

  • สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P) เปิดเผยคาดการณ์ว่า ธนาคารทั่วโลกอาจเผชิญหนี้สูญรวม
กัน 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2564 อันเนื่องมาจากผลกระทบของโรคโควิด-19 โดยหนี้สูญในปีนี้อาจสูงถึง 1.3 ล้านล้าน
ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากระดับในปี 2562

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ