นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.70/75 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ เปิดตลาดที่ระดับ 31.73/75 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทระหว่างวันเคลื่อนไหวทั้ง 2 ทิศทาง แต่แนวโน้มยังอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้า หากไม่มีปัจจัยด้านบวกเข้ามา โดยตลาดยังจับตาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนกรณีที่สหรัฐสั่งห้ามสมาชิกและครอบครัวของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าประเทศสหรัฐ ซึ่งจะ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศตึงเครียดมากขึ้น
ในขณะที่นักลงทุนยังคงถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และทองคำ จึงทำให้ในช่วงนี้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะ ที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
"ระหว่างวันเงินบาทยังมีทั้งขึ้นและลง แต่ดูทิศทางแล้วสัปดาห์หน้า ยังน่าจะอ่อนค่าต่อ ถ้าไม่มีข่าวดีอะไรเข้ามา" นักบริหาร
เงินระบุ
นักบริหารเงิน คาดว่า สัปดาห์หน้าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.60 - 31.80 บาท/ดอลลาร์
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 106.95 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 107.25/27 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1350 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1380/1382 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,359.58 จุด เพิ่มขึ้น 11.72 จุด (+0.87%) มูลค่าการซื้อขาย 41,355 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,490.91 ลบ.(SET+MAI)
- ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำจดหมายเปิดผนึกถึง รมว.คลัง ชี้แจงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือน
และประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่ 1-3% โดยยืนยันว่าไทยยังไม่เข้าสู่
ภาวะเงินฝืด แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะต่ำกว่าขอบล่างของกรอบ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายภายในไตรมาส
2/64 จากนโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายต่อเนื่อง โดย ธปท.จะติดตามพัฒนาข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ และพร้อมใช้เครื่องมือเชิง
นโยบายที่มีอยู่เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในเวลาอันเหมาะสม
- นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐมนตรีทุกคนไม่ได้บกพร่องอะไร เพียง
แต่มีสถานการณ์หลายอย่างเข้ามากดดัน ซึ่งหากมีการปรับเปลี่ยนประชาชนอาจจะรู้สึกดีขึ้นได้ และเชื่อว่าโฉมหน้า ครม.ชุดใหม่จะออกมาดี
และขอให้รอดูผลงาน พร้อมระบุว่า ในรอบนี้จะทำหน้าที่คุมทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง
- ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า สิ่งที่คาดหวังจะเห็นจากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐนตรี คือการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความ
ต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว ซึ่งโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์ที่ทีมเศรษฐกิจชุดนี้ได้ทำไว้ เช่น โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ภาคตะวันออก (อีอีซี), โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ตลอดจนการพัฒนาเมืองโดยรอบสู่การ
เป็นสมาร์ทซิตี้ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมให้ความสำคัญการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะด้านการศึกษาด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิด
ความเท่าเทียมในสังคมมากขึ้น
- ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization: JETRO) รายงาน
สรุปการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งแรกของปี 2563 โดยผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า
นักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทยและมีแนวโน้มขยายการลงทุนต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักลงทุน
ญี่ปุ่นมุ่งหวังว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวขึ้น
- ประธานคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการฯ
ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครจำนวน 6 รายในเบื้องต้นแล้ว โดยพบว่ามีบางรายอาจมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่กำหนด จึงได้
มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะเลขานุการ ไปดำเนินการตรวจสอบก่อนจะนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง
- คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ เห็นชอบให้ปรับปรุงเงื่อนไขของโครงการ 2 เรื่องคือ การปรับคุณสมบัติ
ลูกหนี้ โดยเลื่อนวันของการเป็น NPL (วัน cut-off date) และการปรับเกณฑ์ห้ามก่อหนี้ใหม่ เพื่อให้โครงการสามารถขยายความช่วย
เหลือลูกหนี้ในวงกว้างมากขึ้น สอดคล้องกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในระยะที่ 2 ของ ธปท. รวมทั้งกำหนดให้ผู้ให้บริการทางการ
เงินต้องเสนอแผนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเดียวกับคลินิกแก้หนี้ ให้แก่ลูกหนี้ที่ต้องการแก้ปัญหา
- ผู้นำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เดินทางมารวมตัวกันที่กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม เป็นครั้งแรกนับ
ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร (ราว 8.55 แสนล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ)
- สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2563 ขยายตัว
3.2% ซึ่งฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่หดตัวลง 6.8% ในไตรมาส 1 และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 2.5%
- สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีเยอรมนีเห็นชอบที่จะผนึกความร่วมมือกันเพื่อแก้ไข
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ
- นักลงทุนจับตาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน กรณีที่สหรัฐเตรียมพิจารณาสั่งห้ามสมาชิกและครอบครัวของพรรค
คอมมิวนิสต์จีนเข้าสหรัฐ รวมถึงการพิจารณาว่าจะไม่ออกวีซ่าให้แก่ชาวจีนอีกหลายสิบล้านคนหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ประเด็นความสัมพันธ์ที่ตึง
เครียดมากขึ้นของสองประเทศ
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--