ธปท.หนุนภาคการเงิน-ธุรกิจเน้นพัฒนาดิจิทัลช่วยลดต้นทุน-บริหารความเสี่ยง

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 18, 2020 12:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเปิดงาน Bangkok Fintech Fair 2020 ว่า ธปท.ให้ความสำคัญกับการผลักดันการพัฒนาและลงทุนด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีในระบบการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ภาคการเงินและภาคธุรกิจในการลดต้นทุน บริหารจัดการความเสี่ยง และอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการให้บริการได้ดีขึ้น

โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ทุกคนต้องเว้นระยะห่างและมีการปิดล็อกดาวน์ ดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้ธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ยังสามารถทำได้ในภาวะที่ทุกคนไม่สามารถเดินทางออกไปข้างนอกได้ ส่งผลให้การใช้บริการธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเร่งตัวขึ้นมากในช่วงล็อกดาวน์ รวมถึงในภาคธุรกิจอื่นๆ ได้ประยุกต์ใช้ดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานเพื่อให้ธุรกิจยังเดินต่อไปได้เช่นกัน

ในภาคการเงินนั้น ธปท.สนับสนุนการให้บริการผ่านดิจิทัลเริ่มจากบริการพร้อมเพย์ ซึ่งในปัจจุบันประชาชนได้รู้จักและเชื่อมั่นการให้บริการมากขึ้น ขณะนี้จำนวนผู้ใช้บริการพร้อมเพย์เพิ่มขึ้นมาที่ 55.1 ล้านรายแล้ว และมีจำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พบว่าปริมาณการทำธุรกรรมผ่านบริการพร้อมเพย์สูงสุดถึง 20 ล้านรายการ/วัน

ขณะเดียวกันการนำ QR Code มาใช้ในการอำนวยความสะดวกสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น ถือว่าได้รับความนิยมมาต่อเนื่อง หลังจากที่ผู้ประกอบการเห็นถึงความสะดวกในการใช้ QR Code รับโอนเงินชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนใช้ QR Code จำนวน 6 ล้านไอดีแล้ว

นอกจากนั้น สิ่งที่ ธปท.ยังผลักดันมาต่อเนื่อง คือ โครงการอินทนนท์ เพื่อรองรับการโอนเงินในประเทศระหว่างสถาบันการเงินด้วยการแปลงเงินฝากของสถาบันการเงินที่นำมาฝากไว้ที่ ธปท.ให้อยู่ในรูปสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency) เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและโอนชำระเงินระหว่างกัน โดยขณะนี้ได้มีการขยายไปสู่ความร่วมมือกับพันธมิตรธนาคารในฮ่องกงแล้ว และยังมีการใช้แพลตฟอร์มทางการเงินสำหรับภาครัฐในสังกัดกระทรวงการคลังเพื่อนำไปใช้ทำธุรกรรมแบบ Pier-to-Pier

ส่วนการให้บริการของธนาคารพาณิชย์ที่นำดิจิทัลและเทคโนโลยีไปใช้ในการให้บริการลูกค้าภาคธุรกิจและลูกค้ารายย่อย ได้เริ่มให้ใช้การยืนยันตัวตนผ่านแพลตฟอร์ม National Digital ID (NDID) ในการเปิดบัญชีเงินฝากไปแล้ว และการนำ Bio Metrix มาใช้ในการยืนยันตัวตน รวมถึงการบริการแพลตฟอร์มการให้บริการด้านสินเชื่อที่ทำให้ลูกค้าของธนาคารต่างๆ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างสะดวกขึ้น

"มีหลายเรื่องที่ ธปท.ภาคธนาคาร ภาครัฐ และภาคเอกชน ยังต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ ให้เกิดประโยชน์และช่วยให้ทุกคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดต้นทุน และบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมที่เป็น Digital Economy"นายวิรไท กล่าว

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวอีกว่า ธปท.จะเดินหน้าผลักดันแผนงาน 4 ด้านและต่อยอดต่อไป ได้แก่ การวางระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาคการเงินและภาคธุรกิจโดยใช้มาตรฐาน ISO 20022 เพื่อให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดต้นทุนและบริหารความเสี่ยงของธนาคารได้ดีขึ้น พร้อมกับสามารถช่วยภาคธุรกิจในด้านข้อมูลเกี่ยวกับการทำ E-invoice และ E-Factoring ทำให้ช่วยภาคธุรกิจในเรื่องของการเก็บรวบรวมข้อมูล และเพิ่มความรวดเร็วในการได้รับเงิน ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีก 1 ปีครึ่งจากนี้ ถึงจะนำออกมาใช้ในวงกว้างได้

ขณะที่เรื่องของ Digital Footprint เป็นเรื่องที่ ธปท.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญที่ภาคธนาคารพาณิชย์จะนำประโยชน์จากการใช้ Digital Footprint มาเป็นข้อมูลในการประเมินความสามารถของลูกค้าเพื่อพิจารณาให้สินเชื่อ และทำให้ธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ออกมาตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้า จากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Payment Data ที่อยู่ใน Digital Footprint จะนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล และประเมินความเสี่ยง ทำให้ลูกค้าธนาคารเข้าถึงบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเหมาะสม

ส่วนการผลักดัน NDID ในการยืนยันตัวตนด้วยระบบดิจิทัล ในปัจจุบันยังใช้อยู่ในส่วนของการให้บริการของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่ในอนาคตธปท.ต้องการผลักดันให้ NDID เปรียบเสมือนกับบัตรประชาชนในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถใช้ได้ในวงกว้าง ซึ่ง ธปท.จะเปิดกว้างให้ทุภาคส่วนหันมาใช้ NDID ยืนยันตัวตนแทนบัตรประชาชนเพื่อประกอบการทำธุรกรรมและกิจกรรมต่างๆ โดยในระยะต่อไปจะขยายการใช้ NDID ไปสู่บริการด้านหลักทรัพย์ และบริการภาครัฐ

สำหรับโครงการอินทนนท์ ธปท.ยังคงเดินหน้าต่อยอดการเป็น Central Bank Digital Currency โดยจะขยายการใช้ไป Supply Chain ที่เกี่ยวข้องกับกลไกการธุรกรรมทางการเงินที่มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น รวมถึงจะขยายการใช้ Central Bank Digital Currency ไปสู่ภาคธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือในด้านกลไกการชำระเงินระหว่างภาคธุรกิจด้วยกันเอง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การชำระเงินของภาคธุรกิจ และมีความปลอดภัยมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ