ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นไว้เท่าเดิมที่ระดับ 5.25% อีกครั้ง ซึ่งเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 9 ครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด และคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า เฟดยังคงกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ มากกว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลงในสหรัฐ "ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวขึ้นในระดับปานกลาง และตลาดการเงินเผชิญภาวะผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่การปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มธุรกิจและครัวเรือนมีความเข้มงวดมากขึ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะปรับฐานลง" เฟดระบุในแถลงการณ์ "อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวในระดับปานกลางในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวด้านการจ้างงาน รายได้ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง" "ส่วนในด้านเงินเฟ้อนั้น เฟดพบว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐาน ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เฟดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ นอกจากนี้ อัตราการนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ยังคงปรับตัวสูงขึ้น" "แม้มีข้อมูลบ่งชี้ว่าปัจจัยเสี่ยงที่มีต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มลดลงบ้างแล้ว แต่คณะกรรมการเฟดกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่ปรับตัวลดลงสู่ระดับปานกลางเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น" "ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ยในอนาคตนั้น จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มตัวเลขเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฟดจะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ต่อไป" เฟดระบุในแถลงการณ์ สำนักข่าวเอพีรายงานว่า การตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25% ครั้งนี้เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ค่อนข้างผันผวน โดยดัชนี CPI พื้นฐานในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวขึ้น 1.4% ซึ่งเป็นการขยายตัวน้อยที่สุดในรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25% จนถึงปลายปีนี้ โดยคาดว่าเฟดจะจับตาดูว่าตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เฟดยอมรับได้หรือไม่