SCB EIC มอง GDP ปีนี้หดตัวต่ำกว่าคาด -6.5% ก่อนฟื้นโต 3.8% ในปี 64

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 9, 2020 14:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 63 จะหดตัวน้อยกว่าคาดที่ -6.5% จากการฟื้นตัวของการบริโภคเอกชนในช่วงไตรมาส 3/63 ขณะที่ปี 64 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.8% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มาตรการภาครัฐ และวัคซีน แต่ผลดีของวัคซีนต่อการท่องเที่ยวจะมาช่วงครึ่งหลังของปีเป็นหลัก ขณะที่แผลเป็นทางเศรษฐกิจในตลาดแรงงาน ธุรกิจ SME และหนี้ครัวเรือนจะเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจที่สำคัญ

เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอลงในระยะสั้นจากการระบาดรอบใหม่ แต่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 64 ตามปัจจัยสนับสนุนจากวัคซีน มาตรการกระตุ้น และแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจของประทศหลัก ๆ ส่วนใหญ่ (ยกเว้นจีนเป็นบวกในปี 63) จะยังไม่กลับไปที่ระดับของปี 62 ในปีหน้า ในช่วงที่เหลือของปี 63 จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้มาตรการปิดเมืองเข้มงวดขึ้นในหลายประเทศและจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวในปี 64 อย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีความแตกต่างในรายประเทศและอุตสาหกรรม โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งน่าจะได้รับวัคซีนอย่างแพร่หลายในช่วงครึ่งแรกของปี 64 จะฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ ผลจากรอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจของเศรษฐกิจหลักแม้จะยังมีอยู่แต่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น สะท้อนได้จากอัตราการว่างงานและการปิดกิจการที่มีแนวโน้มลดลง จากแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังและนโยบายการเงินในระดับที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง

ขณะที่ประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนภายหลังและมีข้อจำกัดมากกว่าในด้านพื้นที่การดำเนินนโยบาย อย่างไรก็ดี ประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นฐานการผลิตของสินค้าส่งออกในกลุ่ม IT และกลุ่มสุขภาพอนามัย เช่น จีน และกลุ่มเอเชียตะวันออก จะได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วกว่า ขณะที่ประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ช้ากว่า

ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำสำคัญในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการระบาดรอบใหม่ การกระจายวัคซีนที่อาจล่าช้าและไม่ทั่วถึง ความขัดแย้งทางการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่กระทบต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่การผลิตอุปทาน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในจุดต่างๆ ของโลกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีมากขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจไทย การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ดีกว่าคาดในช่วงไตรมาส 3/63 ส่งผลให้ทั้งปี 63 มีแนวโน้มหดตัวน้อยกว่าที่เคยคาดไว้ ข้อมูลล่าสุดในช่วงไตรมาส 3/63 เศรษฐกิจหดตัวที่ -6.4%YOY หดตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาด เป็นผลจากการฟื้นตัวเร็วกว่าคาดของการบริโภคภาคเอกชนตามปัจจัยชั่วคราวของการมีวันหยุดเพิ่มเติมและมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ

อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4/63 EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราที่ชะลอลง จากการกลับมาระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกในช่วงปลายปี ขณะที่การระบาดในไทยที่เริ่มมีขึ้นอีกครั้งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวในประเทศในระยะสั้นได้ ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 63 จะหดตัวที่ -6.5% ดีขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ -7.8%

ในปี 64 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 3.8% ซึ่งแม้จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกจากฐานที่ต่ำ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เม็ดเงินของภาครัฐทั้งจากในงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงการกระจายวัคซีนในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ผลของแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (scarring effects) จะยังคงกดดันการฟื้นตัวของอุปสงค์ภาคเอกชน

ในส่วนของเม็ดเงินจากภาครัฐ คาดว่าจะมีจำนวนมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีราว 9.8% นอกจากนี้ ยังมีวงเงินเหลือจาก พรก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท อีกประมาณ 5 แสนล้านที่รัฐสามารถใช้ได้ในปี 64 ซึ่งล่าสุดรัฐบาลได้ออกมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 2 และให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมกับผู้ถือบัตรสวัสดิการ รวมถึงขยายเวลามาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งเป็นสัญญาณว่ารัฐยังพร้อมใช้มาตรการเพื่อพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการใช้จ่ายของภาคประชาชน สำหรับภาคส่งออกของไทย มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 4.7% ตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลก

อย่างไรก็ดี ปัญหาการขาดแคลนและต้นทุนที่สูงขึ้นของตู้คอนเทนเนอร์โดยเฉพาะในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงช่วงต้นปีหน้า และแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นตามทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อการส่งออกในปีหน้า ขณะที่การค้นพบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงจากหลายค่าย รวมทั้งการที่ไทยเป็นผู้ผลิตวัคซีน AstraZeneca จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี โดย EIC คาดว่าประชากรในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลายในช่วงครึ่งแรกของปี 64 เนื่องจากมีสัญญาซื้อล่วงหน้า

ขณะที่ในกรณีประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มต้นได้รับวัคซีนที่จองซื้อไว้ในช่วงกลางปีและจะมีการฉีดอย่างแพร่หลายในช่วงครึ่งหลังของปี จึงทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวและประเทศปลายทางอย่างไทยได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลายแล้ว ทั้งนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าจะอยู่ประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่าตัวเลขปี 62 ที่เกือบ 40 ล้านคนอยู่มาก

นอกจากนั้น เศรษฐกิจไทยจะยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากแผลเป็นเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบไปด้วย 1) ความเปราะบางของตลาดแรงงาน ได้แก่ การว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูง การทำงานต่ำระดับที่เพิ่มขึ้นมาก และการที่แรงงานจำนวนมากต้องเปลี่ยนไปทำงานที่มีรายได้น้อยลง 2) การเปิด-ปิดกิจการที่ยังซบเซาต่อเนื่อง และ 3) ปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยแผลเป็นทั้ง 3 ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในระยะข้างหน้า ทำให้แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในปีหน้า แต่ยังต้องพึ่งพาการใช้จ่ายของภาครัฐค่อนข้างมาก และระดับเศรษฐกิจทั้งปีในปีหน้าก็จะยังต่ำกว่าระดับในปี 62

ด้านนโยบายการเงิน คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปี 64 รวมทั้งใช้มาตรการเฉพาะจุดร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งผ่านนโยบายการเงินและสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการจัดการกับหนี้เสีย ภาวะการเงินโดยรวมของไทยยังคงอยู่ในระดับผ่อนคลายจากการที่ ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดค่าใช้จ่ายด้านการชำระหนี้ให้แก่ครัวเรือนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ

ในระยะต่อไป EIC คาดว่า ในด้านดอกเบี้ย ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตลอดปี 2564 ควบคู่กับการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเมื่อจำเป็น เพื่อดูแลดอกเบี้ยในตลาดการเงินให้อยู่ในระดับต่ำซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายใต้แนวโน้มเงินเฟ้อที่จะยังอยู่ในระดับต่ำ (คาดเงินเฟ้อทั่วไปปี 2564 อยู่ที่ 0.9%) ขณะที่จะมีการปรับเงื่อนไขของมาตรการ Soft loan และการใช้เครื่องมือการค้ำประกันความเสี่ยงของ บสย. เข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งผ่านสภาพคล่องไปยังธุรกิจ SME ให้มากขึ้น ตลอดจนการออกมาตรการเพิ่มเติมและปรับกฎเกณฑ์เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการบริหารจัดการหนี้เสียอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับค่าเงินบาท EIC คาดว่า มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดย ณ สิ้นปี 64 ค่าเงินบาทจะอยู่ในช่วง 29.5-30.5 บาท/ดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางการค้าที่แม้จะดำเนินต่อไป แต่น่าจะลดความผันผวนลง และการขาดดุลทางการคลังที่มากขึ้นของสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าตลาด EM รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นในระยะต่อไป

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่อาจทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าคู่ค้าคู่แข่งโดยเฉลี่ย คือ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องในปี 64 (คาด 3.0% ของ GDP) เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยที่ยังแข็งแกร่งจนทำให้เงินบาทถูกมองเป็นสกุลเงินในภูมิภาคที่ปลอดภัย รวมถึงพฤติกรรม home bias ของนักลงทุนไทยที่ลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างน้อย ทั้งนี้มาตรการของ ธปท. ในการเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาออกอาจไม่ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลงในระยะสั้นนัก เพราะการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศต้องอาศัยการปฏิรูปเพื่อลดข้อจำกัดในส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น ภาษี กฎเกณฑ์ของหน่วยงานอื่น ๆ การให้ความรู้แก่นักลงทุนรายย่อย และการยกระดับความสามารถของสถาบันตัวกลาง

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในปี 64 ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญ ประกอบด้วย 1) การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 และความล่าช้าในการกระจายวัคซีนในไทยอย่างแพร่หลาย 2) แผลเป็นทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพสถาบันการเงินผ่านระดับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงเงินทุนของภาคเอกชน 3) ปัญหาเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน 4) ภัยแล้ง จากระดับน้ำในเขื่อนที่ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และ 5) เงินบาทที่แข็งค่าเร็วกว่าคู่ค้าคู่แข่งซึ่งอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศ

นอกจากนี้ ในระยะปานกลาง ต้องจับตาจำนวน Zombie Firm (ธุรกิจที่ขาดความสามารถในการทำกำไรเพื่อชำระดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นเวลานาน) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากวิกฤตในรอบนี้ จากการปรับตัวของธุรกิจที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค แต่สามารถอยู่รอดได้จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้การกระจายทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลิตภาพในการผลิตและศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ