นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เปิดเผยว่า ร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประกันชีวิต พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 จะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 1 ของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบจาก สนช.ก็คาดว่ากฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ธ.ค.50 ซึ่งจะมีความเข้มงวดในการดูแลการประกอบธุรกิจประกันภัยและคุ้มครองประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้ในร่างแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้บริษัทต้องดำรงเงินกองทุนตามขนาดและประเภทของความเสี่ยงในทุกด้าน ทั้งการประกันภัย, การตลาด, ความน่าเชื่อถือ, สภาพคล่อง และการดำเนินงาน เพื่อให้มีกองทุนเพียงพอและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย จากเดิมที่กำหนดให้บริษัทประกันชีวิตต้องดำรงเงินกองทุนไม่น้อยกว่า 2% ของเงินสำรองประกันภัย และบริษัทประกันวินาศภัยต้องมี 10% ของเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ ซึ่งเพียงพอต่อความเสี่ยงจากการรับประกันภัยเท่านั้น
ขณะเดียวกันยังกำหนดให้บริษัทต้องมีทรัพย์สินเป็นทุนสำรอง 100% ของเงินสำรองประกันภัย โดยทรัพย์สินดังกล่าวต้องปราศจากภาระผูกพัน ภาคเอกชนต้องจัดตั้งกองทุนประกันชีวิตและกองทุนประกันวินาศภัย โดยแต่ละบริษัทอาจนำเงินเข้ากองทุนไม่เกิน 0.5% ของเบี้ยรับ เพื่อช่วยเหลือผู้เอาประกันกรณีที่บริษัทที่ทำประกันภัยไว้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือล้มละลาย
พร้อมกันนั้น ยังกำหนดให้บริษัทต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวแทนของบริษัท รวมทั้งต้องเปิดเผยข้อมูลฐานะการเงิน การดำเนินงาน และการให้บริการแก่ผู้เอาประกัน เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกทำประกันภัย