สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 2/64 อยู่ที่ 11 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมากที่สุด และปรับตัวลดลงมากจากไตรมาส 1/64 โดยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 2/63
สถานการณ์ในช่วงไตรมาส 2/64 ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังเปิดบริการตามปกติมีเพียง 50% ลดลง 17% จากไตรมาส 1/64 โดยปิดกิจการชั่วคราว 36% เพิ่มขึ้น 22% และปิดกิจการถาวร 4% เพิ่มขึ้น 1% นอกจากนี้พบว่า 68% ของสถานประกอบการท่องเที่ยวมีจำนวนพนักงานเหลืออยู่ไม่เกิน 50% และ 60% ของสถานประกอบการท่องเที่ยวที่ยังเปิดอยู่จ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแก่พนักงานไม่เกิน 50% จากที่เคยจ่าย ที่สำคัญคือ 75% ของสถานประกอบการท่องเที่ยวมีรายได้ไม่เกิน 10% เมื่อเทียบกับช่วงสถานการณ์ปกติ และ 82% ของโรงแรมทั่วประเทศมีอัตราการเข้าพักไม่เกิน 10%
นอกจากนี้พบว่า 74% ของผู้ประกอบการที่ยังเปิดบริการในไตรมาสนี้มีทุนสำรองให้ใช้ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน สะท้อนให้เห็นว่า หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น คาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีสถานประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเหลือรอดอยู่เพียงประมาณ 13% ของทั้งประเทศเท่านั้น หากไม่ได้รับการเยียวยาหรือไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือ Soft Loan โดยผู้ประกอบการ 73% ระบุว่าต้องการเงินกู้มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในวงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 33 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสหน้าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสนี้เล็กน้อย แต่สถานการณ์ท่องเที่ยวยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากที่สุด
นายวิชิต ประกอบโกศล รองประธาน สทท. กล่าวถึงการประมาณการนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้ว่าทำได้ยากมาก เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดย 2 ปัจจัยหลัก คือ แผนการฉีดวัคซีนและแผนการเปิดประเทศของทั้งไทยและต่างประเทศ
โดยประเมินว่า หากประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนได้เกิน 70% และสามารถเปิด 10 จังหวัดนำร่อง รวมถึงกรุงเทพมหานครได้ภายใน 120 วันและประเทศเป้าหมายรวมทั้งจีนเปิดการเดินทางเข้าประเทศไทยแบบไม่ต้องกักตัว จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 3 ล้านคน และสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 212,000 ล้านบาท
นายวิชิต กล่าวว่า มองเห็นโอกาสที่ค่อนข้างมากที่ประเทศจีนจะผ่อนคลายมาตรการให้ประชาชนสามารถเดินทางออกนอกประเทศเพื่อท่องเที่ยวได้ จากสิ้นไตรมาส 2/64 ประชากรในประเทศจีนได้รับวัคซีนแล้ว 1,200 ล้านโดส โดยขณะนี้จีนมีศักยภาพในการฉีดวัคซีน 500 ล้านโดส/เดือน ดังนั้นคาดการณ์ว่าอีก 2 เดือนข้างหน้า ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจีนจำนวนกว่า 1,400 ล้านคนจะได้รับวัคซีนคนละอย่างน้อย 1 โดส
แต่หากเปิดเพียง 9 จังหวัดและจีนยังไม่เปิดประเทศ อาจจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเหลือเพียง 1 ล้านคน คิดเป็นรายได้ประมาณ 83,000 ล้านบาท
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธาน สทท. กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวได้เตรียมความพร้อมเพื่อตอบรับแผนการเปิดประเทศภายใน 120 วัน ของรัฐบาล โดยได้แบ่งยุทธศาสตร์ออกเป็น 4 ส่วน คือ 1.ด้านการป้องกัน เพื่อรองรับการเปิดประเทศในอีก 120 วัน ในช่วงปลายไตรมาส 4/64 จะต้องมีการฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ใน 10 จังหวัดนำร่อง รวมถึงมีการจัดหาวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อรองรับโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
2.การเยียวยา โดยการขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการเข้าถึง Soft Loan ตามนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สนับสนุนค่าใช้จ่าย และ Payroll ในการรีสตาร์ทแบบ CoPay
3.การพัฒนา โดยการจัดอบรมสัมมนา Up-skill และ Re-skill เพื่อทำการรีสตาร์ทจังหวัดภูเก็ต โดยขณะนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการอบรมแล้ว 700 คน นอกจากนี้ในอนาคตยังมีงบสำหรับการดูแล Supply Side เพื่อดูแลระบบขนส่งในการซ่อมรถ และเรือให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กด้วย
สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ ได้มีการพูดคุยนำร่องในจังหวัดภูเก็ต เรื่องการเปิดโรงแรม เช่นให้ทยอยเปิดโรงแรม ไม่เปิดพร้อมกันทั้งหมด 1,000 แห่ง และเรียกพนักงานกลับมาเพียงบางส่วนก่อน เพื่อดำเนินการให้พนักงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม (SHA Plus)
4.การฟื้นฟู โดยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วยโครงการทัวร์เที่ยวไทยและเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3, โครงการส่งเสริมการจัดประชุมสัมมนา, โครงการสนับสนุนงบประมาณด้านการเดินทาง รวมถึงสนับสนุนการเตรียมความพร้อมในการใช้ Digital Platform และ Influencer ให้แก่ผู้ประกอบการ
"จังหวัดภูเก็ตมีความพร้อมที่จะเปิดเมืองแล้ว จากการฝึกซ้อมในทุกกระบวนการตั้งแต่การปฎิบัติตัวของสนามบิน จนถึงการปฎิบัติตัวของโรงแรม โดยทีมป้องกันได้เร่งสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย 70% แล้ว และการยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัย SHA Plus โดยเริ่มจาก Phuket Sandbox เป็นที่แรก หากโมเดล Phuket Sandbox สำเร็จจะเริ่มนำร่องในพื้นที่ใกล้เคียงในระยะเวลา 15 วัน เช่นในจังหวัดสมุย กระบี่ และพังงา เป็นต้น พร้อมกันนี้ยืนยันว่าในวันที่ 1 ก.ค. นี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไฟล์ทแรกอยู่ที่ประมาณ 500 คน" นายชำนาญ กล่าวนอกจากนี้เพื่อการขับเคลื่อนการเปิดประเทศ ยังต้องมีการปรับปรุงเกณฑ์การกู้เงินให้ SME เข้าถึงได้ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย รวมทั้งต้องของบประมาณสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร และผู้ประกอบการผ่าน Tourism Labor Bank พร้อมทั้งควรมีการทำ Travel Bubble และสนับสนุนตลาด Inbound เช่น Insurance, Covid Test และ Ease of Traveling เป็นต้น
"ถึงแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อ และคลัสเตอร์การระบาดของโรคโควิด-19 ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่มองว่าไม่กระทบการเปิด Phuket Sandbox เนื่องจากคลัสเตอร์ที่มีการระบาดอยู่ ณ ปัจจุบันเป็นคลัสเตอร์โรงงาน และกลุ่มก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่" นายชำนาญ กล่าวนายชำนาญ กล่าวว่า การเปิดประเทศใน 120 วันนั้น จะสามารถเร่งให้การจ้างงานให้กลับมาโดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งธุรกิจสายการบิน และธุรกิจโรงแรม ที่เริ่มมีการเรียกพนักงานกลับมาหลังจากการประกาศเปิดประเทศใน 120 วัน นอกจากนี้คาดว่าการเปิดประเทศครั้งนี้จะส่งผลให้สถานประกอบการที่ปิดชั่วคราวจำนวน 36% สามารถกลับมาเปิดตามปกติได้