กระทรวงการคลัง ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 50 เพิ่มขึ้นเป็น 4.5% จากเดิมอยู่ในช่วง 3.8-4.3% หรือ เฉลี่ย 4.0% เนื่องจากการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาดีกว่าที่เคยคาดไว้ จึงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำคัญ และการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งมีบทบาทช่วยรองรับผลกระทบจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชน ส่วนเศรษฐกิจในปี 51 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 5.0% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 4.5-5.5% ตามการใช้จ่ายภายในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 50 และการส่งออกที่คาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงว่า ในปีนี้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.5% และ 0.2% เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี ยังได้รับแรงสนับสนุนหลักมาจากปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการที่คาดว่าขยายตัวได้ดีที่ 6.4% ขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะขยายตัวในอัตราต่ำที่ 3.5% นอกจากนั้น การเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐได้เข้ามาช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่การใช้จ่ายภาคเอกชนชะลอลง โดยการบริโภคและการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 9.2% ต่อปี และ 2.9% ต่อปี สอดคล้องกับการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 50 ที่สามารถเบิกจ่ายได้สูงถึง 93.9% ของกรอบวงเงินงบประมาณ จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 93% ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในปีนี้ยู่ในระดับแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลสูงถึง 5.0% ของ GDP เนื่องจากการเกินดุลการค้าสูงขึ้นตามมูลค่าส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 15.7% แต่มูลค่านำเข้าสินค้าที่ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 8.8% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.2% นางพรรณี กล่าวว่า ส่วนในปีหน้า ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลลดลงมาอยู่ที่ 3.3% ของ GDP ตามมูลค่าการส่งออกที่ชะลอตัวและการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 4.0% ตามราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น การใช้จ่ายภายในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นจากฐานการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในปี 50 ที่ขยายตัวต่ำมาก ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก การปรับขึ้นเงินเดือนของภาครัฐ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่น่าจะฟื้นตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ทำให้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปีหน้าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากฐานการลงทุนในปี 50 ที่ต่ำมากเช่นกันเนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูงใกล้เต็มกำลังการผลิตและโครงการที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจำนวนมากในปัจจุบันจะเริ่มมีการลงทุนใหม่ในปีหน้า นอกจากนั้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐอย่างต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ภายในประเทศเพิ่มขึ้น และการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ 4.5% การเร่งการลงทุนของภาครัฐในปีหน้า โดยเฉพาะในโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย (Crowding-in Effect) อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเล็กน้อย แม้ว่าการส่งออกไปยังตลาดเดิม โดยเฉพาะสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มลดลง แต่โครงสร้างการส่งออกและนโยบายเร่งส่งออกที่เปลี่ยนไปยังตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางที่เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงจะช่วยสนับสนุนให้การส่งออกยังขยายตัวได้ดี ด้านปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ