ภาคเอกชน จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนหนุนเปิดประเทศ หวังศก.ปีหน้ากลับมาฟื้นโต 6-8%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 9, 2021 12:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในการเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ "สุขภาพเศรษฐกิจไทย เขียว เหลือง หรือแดง" ว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในระดับสีเหลือง โดยในปี 63 ระบบเศรษฐกิจในประเทศเกิดความเสียหายราว 1 ล้านล้านบาท ส่วนการระบาดระลอก 3 และระลอก 4 ในปีนี้คาดว่าจะเกิดความเสียหายราว 8 แสนล้านบาทถึง 1 ล้านล้านบาท แต่ยังโชคดีที่การส่งออกในปีนี้มีแนวโน้มดี โดยช่วง 7 เดือนแรกขยายตัวกว่า 16% จากต้นปีที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะโต 4% ซึ่ง กกร.คาดว่าการส่งออกปีนี้จะโตได้ 12-14% แต่จีดีพีขยายตัว 1% ถึงติดลบ 0.5%

ภาคเอกชนเห็นด้วยกับนโยบายเปิดเมืองปลอดภัย เพราะเรายังต้องอยู่กับโรคโควิด-19 ไปอีกนาน แต่ต้องดูแลปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนไปพร้อมๆ กัน โดยเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำสามารถดำเนินต่อไปได้

"ต้องควบคุมให้เป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เราไม่สามารถทำให้ปลอดการติดเชื้อ การเปิดเมืองจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่กันไปกับการดูแลเรื่องสาธารณสุข ซึ่งโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เป็นตัวอย่างที่ดี" นายสนั่น กล่าว

ในปี 65 ควรมีการกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความท้าทายมากขึ้นว่าจะขยายตัวได้ 6-8% ซึ่งมีความเป็นไปได้หากสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วประเทศครบสองเข็มได้มากกว่า 50% โดยภาครัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลัง การเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น 65-70% เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มอีก 7 แสนล้านบาทถึง 1.5 ล้านล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวน 5 แสนล้านบาท และในไตรมาสแรกของปี 65 อีก 5 แสนล้านบาท

สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนนั้น เมื่อภาครัฐเห็นชอบการฉีดไขว้แล้วก็ควรใช้วิธีฉีดวัคซีนซิโนแวคเข็มแรก หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ก็ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มสอง จะช่วยให้สามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนรวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้รัฐบาลควรมีการทบทวนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่าจะทำอย่างไรให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าวิกฤตครั้งนี้ต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยผู้ประกอบการที่มีความแข็งแรงต้องลงมาช่วยผู้ประกอบการที่อ่อนแอกว่า เช่น เอสเอ็มอีที่เป็นห่วงโซ่ธุรกิจให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้ด้วยกัน

"อย่าปล่อยให้เอสเอ็มอีปิดการไป จะฟื้นกลับมาได้ยาก เอสเอ็มอีกลุ่มค้าปลีก โรงแรม และอสังหาฯ จะกลับมาได้ถ้าปีหน้าเศรษฐกิจฟื้น" นายสนั่น กล่าว

ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต่อจากนี้ไปภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำงานเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นในทุกเรื่อง เพราะภาคเอกชนมีข้อมูลเชิงลึกที่ทำให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรค และเร็วๆ นี้เตรียมระดมสมองหอการค้าทั่วประเทศเกี่ยวกับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งจะสรุปรวบรวมความคิดเห็นเสนอต่อที่ประชุม กกร.ต่อไป

"ภาครัฐต้องทำงานให้เร็วขึ้น โดยใจกว้างเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจะช่วยให้การแก้ปัญหาเร็วขึ้น ถ้าทำงานร่วมกันได้จะสามารถทำให้ทุกอย่างมีความเป็นไปได้

ขณะที่ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้เป็นระดับสีเหลือง แต่มั่นใจปี 65 เศรษฐกิจของไทยจะกลับมามีอัตราการเติบโตโตได้ 6-8% หลังเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องมา 2 ปีแล้ว โดยการส่งออกในปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นจากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยคาดว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัว 12-14% แต่ส่วนตัวคิดว่าจะเติบโตได้มากกว่านี้

"ปีที่แล้วเศรษฐกิจติดลบไป 7% ปีนี้คาดว่าโต 1% เท่ากับเศรษฐกิจชะลอตัวมา 2 ปีแล้ว ถ้าปีหน้าโตสัก 7% ก็เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้" นายสุพันธุ์ กล่าว

เนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีสัดส่วนมาจากภาคอุตสาหกรรม 70% ภาคบริการ 20% และภาคเกษตร 10% โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภาคบริการได้รับผลกระทบมากสุดเนื่องจากไม่มีรายได้ แต่การปิดประเทศไม่ได้ทำให้การแพร่ระบาดลดลง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการเร่งจัดหาวัคซีนที่มีปริมาณเพียงพอเพื่อฉีดให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังขาดแคลนอีกเป็นจำนวนมาก โดยหวังว่าหากมีการฉีดวัคซีนได้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว และประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น

"อย่าไปตื่นเต้นกับยอดผู้ติดเชื้ออย่างเดียวแล้วหามาตรการปิดประเทศ ต้องดูภาวะเศรษฐกิจให้สมดุลไปด้วย เพราะระบบสาธารณสุขของเรานั้นดีอยู่แล้ว" นายสุพันธุ์ กล่าว

การพัฒนาประเทศนั้นยังขาดเวทีที่จะเป็นช่องทางให้ภาคเอกชนเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่อรัฐบาล ขณะที่ภาครัฐสนใจเรื่องความมั่นคงแต่ภาคเอกชนสนใจเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้การดำเนินงานมีเป้าหมายและนโยบายแตกต่างกัน แต่ขอยืนยันว่าองค์กรภาคเอกชนคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ไม่ได้มองเรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ