คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้ปรับลดสัดส่วนผสมดีเซลจาก B10 และ B7 เป็น B6 ในช่วงระหว่างวันที่ 11-31 ต.ค.นี้ พร้อมลดการจัดเก็บเงินจาก B7 เข้ากองทุนฯ จาก 1 บาท เหลือ 1 สตางค์ และลคค่าการตลาดดีเซลเหลือ 1.40 บาท รวมทั้งเตรียมเงินกองทุนน้ำมันราว 3 พันล้านบาท หวังกดราคาขายปลีกดีเซลในประเทศไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร นอกจากนั้น กบง.ยังมีมติตรึงราคาก๊าซแอลพีจีจนถึงสิ้นเดือน ม.ค.65
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ผลการประชุม กบง. วันนี้มีมติ 1.ลดสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลให้มีสัดส่วนจาก B10 และ B7 เหลือสัดส่วนเดียวคือ B6 หรือเหลือ 6% เป็นการชั่วคราวเริ่มวันที่ 11-31 ต.ค.64 เพื่อให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เข้ามาช่วยเหลือราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร
2.ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จากปัจจุบันที่มีการเก็บเงินจาก B7 อยู่ที่ 1 บาท ให้ลดลงเหลือ 1 สตางค์ โดยมีผลวันพรุ่งนี้ (5 ต.ค.64)
3.ลคค่าการตลาดดีเซลธรรมดา จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร เหลือ 1.40 บาท/ลิตร โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวเมื่อมีการลดแล้วราคาน้ำมันดีเซล จะอยู่ที่ประมาณ 28.29 บาท/ลิตร
อย่างไรก็ตาม หากราคาดีเซลปรับตัวสูงขึ้นไปกว่าปัจจุบันที่อยู่ 76 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะเข้ามาช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร หรือให้อยู่ที่ราว 28.29 บาท/ลิตร เพื่อไม่ให้สร้างความเดือนร้อนกับประชาชนที่ใช้ดีเซลราว 10 ล้านคันในช่วงนี้ถึงสิ้นเดือน ต.ค.64
และหลังจากนี้ก็จะยังคงจับตาดูสถานการณ์ราคาน้ำมัน หากปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ที่ 31 ต.ค.64 กบง.ก็จะมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวข้างต้น คาดจะใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงราว 3,000 ล้านบาท เพื่อคุมราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร
นอกจากนี้ กบง.ยังมีมติตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (LPG) จนถึงสิ้นเดือนม.ค.65 โดยให้มีการแยกบัญชี LPG ออกมาจากน้ำมัน โดยจะเสนอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ อนุมัติวงเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทมาช่วยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากเป็นมาตรการที่เริ่มมาจากการระบาดของโควิด-19 รอบแรก