(เพิ่มเติม) กกพ.เคาะขึ้นค่า Ft ปี 65 แบบขั้นบันได ทยอยเพิ่มงวดม.ค.-เม.ย.ที่ 16.71 สตางค์

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 19, 2021 11:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

(เพิ่มเติม) กกพ.เคาะขึ้นค่า Ft ปี 65 แบบขั้นบันได ทยอยเพิ่มงวดม.ค.-เม.ย.ที่ 16.71 สตางค์

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.มีมติให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบ เดือนมกราคม - เมษายน 2565 เพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์ จากปัจจุบัน -15.32 สตางค์ในงวดก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยปรับปรุงตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป

"หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กกพ. ได้ดำเนินนโยบายบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้ใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง มาตรการการลดค่าไฟฟ้า และตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรหรือเอฟทีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้สถานการณ์การ แพร่ระบาดของโควิด-19 เบาบางลง ทำให้เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับสถานการณ์วิกฤตพลังงานในต่าง ประเทศ ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวส่งผลให้เกิดภาวะพลังงานตึงตัว (Energy Crisis) เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้พลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนี้ จึงเป็นเหตุทำให้ค่าเอฟทีในงวด เดือนมกราคม - เมษายน 2565 (ที่ใช้ค่าจริงเดือนกันยายน 2564 ในการประมาณการ) เพิ่มสูงขึ้นเป็น 48.01 สตางค์" นายคมกฤช กล่าว

สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน มกราคม - เมษายน 2565 ประกอบด้วย

1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน มกราคม - เมษายน 2565 เท่ากับประมาณ 65,325 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจาก ประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือนกันยายน - ธันวาคม 2564) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64,510 ล้านหน่วย หรือ เพิ่มขึ้น 1.26%

2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2565 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง หลัก 60.27% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 13.92% และค่าเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 7.68% ลิกไนต์ของ กฟผ. 7.55% และอื่นๆ อีก 6.92%

3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ม.ค. - เม.ย. 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการใน เดือนกันยายน - ธันวาคม 2564 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ย ปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณในรอบเดือนกันยายน - ธันวาคม 2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ ดังที่แสดงใน ตาราง

ประเภทเชื้อเพลิง                หน่วย        กันยายน-ธันวาคม 64    มกราคม-เมษายน 65       เปลี่ยนแปลง
                                          (ประมาณการ)[1]      (ประมาณการ)[2]       [2]-[1]

ราคาก๊าซธรรมชาติ ทุกแหล่ง*     บาท/ล้านบีทียู          270.80             376.46              +105.66
ราคาน้ำมันเตา                 บาท/ลิตร              0.00              18.20               +18.20
ราคาน้ำมันดีเซล                บาท/ลิตร             20.14              22.17                +2.03
ราคาลิกไนต์ (กฟผ.)            บาท/ตัน             693.00             693.00                 0.00
ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ย (IPPs)   บาท/ตัน           2,386.00           2,877.69              +491.66
*ราคาก๊าซฯ รวมค่าผ่านท่อและค่าดำเนินการของโรงไฟฟ้า กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชน

          4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1 - 30 กันยายน 2564) เท่ากับ 33.0 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่า
จากประมาณการในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
          นายคมกฤช กล่าวว่า จากการประชุม กกพ. ล่าสุด กกพ. ห่วงใยสถานการณ์ราคาพลังงานที่แพงขึ้นอย่างมาก และเป็นห่วง
ถึงผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้พลังงานเป็นวงกว้าง และได้พิจารณานำเงินบริหารจัดการค่า Ft และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการ
ไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดมาลดผลกระทบของการปรับค่าเอฟทีครั้งนี้กว่า 5,129 ล้านบาท และนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซ
ธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา จำนวนเงิน 13,511 ล้านบาท
รวมเป็นเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่า Ft ทั้งหมด 18,640 ล้านบาท
          ตลอดจนได้พิจารณาค่าแนวโน้มปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 32.1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
ราคาน้ำมันตลาดโลกคาดการณ์เฉลี่ยลดลงมาเป็นประมาณ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และให้มีการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันทด
แทน Spot LNG ซึ่งมีราคาสูงเพื่อลดผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวมด้วยแล้ว ยังคงทำให้ค่าเอฟทีต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.18 สตางค์
หรือเพิ่มขึ้น 22.50 สตางค์ ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะสั้นเป็นอย่างมาก
          กกพ. ยังคงติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยยัง
คาดหวังว่าสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน และราคาเชื้อเพลิงยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้บ้าง หลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวซึ่งมีปริมาณความต้อง
การการใช้ก๊าซธรรมชาติสูง และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะสามารถบริหารจัดการความสมดุลของอุปสงค์ และอุปทานน้ำมันในตลาดให้ดี
ขึ้นได้
          อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาพลังงานระยะต่อไปยังคงมีความผันผวน และเป็นแนวโน้มขาขึ้น ความต้องการใช้ก๊าซ
ธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายสัมปทาน จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งการประหยัดใช้
พลังงาน กกพ. จะดูแลค่าไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ได้อย่างราบรื่นและมีความสมดุล
          ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนมกราคม - เมษายน
2565 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 19 - 25 พฤศจิกายน 2564 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ