ศบศ.ไฟเขียวยกเว้นภาษี Capital Gain tax สำหรับลงทุนในสตาร์ทอัพไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Friday January 21, 2022 20:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศบศ.ไฟเขียวยกเว้นภาษี Capital Gain tax สำหรับลงทุนในสตาร์ทอัพไทย

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ที่มีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ และได้มอบหมายให้สภาดิจิทัลฯ กระทรวงการคลัง และกรมสรรพากร หาข้อสรุปในการในการปรับปรุง พ.ร.ฎ. ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ปี 2559 (ฉบับที่ 597) และปี 2560 (ฉบับที่ 636) เพื่อรายงานความคืบหน้าให้ฝ่ายเลขาฯ และ ศบศ. ภายใน 30 วัน อีกทั้งยังมอบหมายให้ทางสภาดิจิทัลฯเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันบูรณาการและกำหนดแนวทางพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลของประเทศ

สำหรับความคืบหน้าพ.ร.ฎ.ยกเว้น ภาษี Capital Gains Tax สำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพไทย ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของกรมสรรพากรในการดำเนินการเสนอร่าง พ.ร.ฎ. ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้สภาดิจิทัลฯ ได้เสนอให้มีการจัดโรดโชว์นำทัพโดยนายกรัฐมนตรี เพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ไปยังกลุ่มนักลงทุนและกลุ่มสตาร์ทอัพที่เป็นเป้าหมายตลอดปี รวมถึงการผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ เกษตรกร ประมง รวมถึง Soft Power ด้านภาพยนตร์ กีฬา และ E-Sport พร้อมการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประกอบการในเรื่องต่าง ๆ เช่น มีที่ปรึกษาในการตอบคำถาม การช่วยประสานงานกับภาครัฐในเรื่องที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูลและคู่มือการใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เป็นต้น

ทั้งนี้สภาดิจิทัลฯได้เชื่อมั่นว่ามาตรการยกเว้นภาษี Capital Gains Tax และแนวทางส่งเสริมดังกล่าวนี้จะสร้างสตาร์ทอัพไทยรายใหม่เป็นจำนวนถึง 5,000 รายในปี 2565 ถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ที่เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน

"ถือเป็นความสำเร็จ และเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในประเทศไทย นับจากนี้ สภาดิจิทัลฯ จะเร่งดำเนินการประสานและร่วมทำงานในการออก พ.ร.ฎ. ฉบับนี้อย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันนโยบายส่งเสริมการลงทุน ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และสตาร์ทอัพแก่ผู้ประกอบการไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้นอกเหนือจากภาพการลงทุนแล้ว สภาดิจิทัลฯ ยังคงให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนา Ecosystem ให้แข็งแกร่ง โดยจะเน้นพัฒนากำลังคนดิจิทัลให้เทียบเท่าระดับสากล คือ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทักษะดิจิทัลในกลุ่มทักษะขั้นสูง 3.5 ล้านคนภายในปี 2570 โดยจะมีการสร้างมาตรฐานและใบรับรองหลักสูตรสำหรับทักษะดิจิทัลขั้นสูง โดยจะส่งเสริมการพัฒนาทักษะของกำลังคน การพัฒนาแพลตฟอร์มและคอนเทนต์ที่ได้รับการรับรอง สนับสนุนให้มีการเลือกเรียนในสาขาดิจิทัลขั้นสูงมากขึ้น รวมทั้งการดึงผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการพัฒนาและเพิ่มจำนวนกลุ่มแรงงานดิจิทัลขั้นสูงในอนาคต" นายศุภชัยกล่าว

นายศุภชัย กล่าวว่า สภาดิจิทัลฯ ยังคงเดินหน้าในการให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในประเทศไทย ซึ่งถือว่าครั้งนี้เป็นความร่วมมือที่ดีในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงของทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง, ภาคเอกชน พร้อมทั้งกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสภาดิจิทัลฯ จะดำเนินการผลักดัน พ.ร.ฎ. ยกเว้น ภาษี Capital Gains Tax ให้ออกมาเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างยั่งยืนต่อไป

ด้าน นายศรัณย์ สุตันติวรคุณ นายกสมาคม Thai Venture Capital Association (TVCA) และหุ้นส่วนบริหาร N-Vest Venture Co., Ltd กล่าวว่า พ.ร.ฎ.การยกเว้นภาษี Capital Gains Tax ฉบับนี้ถือว่าเป็นสร้างสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการส่งเสริมศักยภาพการลงทุนให้กับสตาร์ทอัพและ Tech companies ได้อย่างมาก อีกทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ อาจไม่ใช่ปัจจัยดึงดูดให้ต่างชาติย้ายฐานการลงทุนมาประเทศไทยในทันที แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตสู้กับประเทศอื่นได้ และจะทำให้สตาร์ทอัพไทยสามารถดึงบุคลากรที่มีศักยภาพจากทั่วโลกมาร่วมสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย

นางณิชาภัทร อาร์ค Director & Thailand Coverage, Openspace Ventures ตัวแทนจากผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ กล่าวว่า การยกเว้นภาษี Capital Gains Tax นี้จะช่วยดึงดูดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งการตัดสินใจเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพจะพิจารณาหลายปัจจัย ตั้งแต่แผนธุรกิจและศักยภาพของสตาร์ทอัพ ขนาดของตลาด (Market Size) การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน รวมถึงการพิจารณาเรื่องนโยบายภาษีของประเทศที่จะเข้าลงทุนด้วย ดังนั้นมองว่า เป็นเรื่องที่ดีในการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนครั้งนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ