ผลการสำรวจความคิดเห็นของบรรดาผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น 77 แห่ง ซึ่งจัดทำโดยหนังสือพิมพ์นิกเกอิเมื่อวานนี้ระบุว่า บรรดาผู้บริหารของญี่ปุ่นเกือบ 2 ใน 3 วิตกกังวลว่า ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อไม่นานมานี้จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท โดย 64% ของบรรดาประธานบริษัทในญี่ปุ่นตั้งแต่ภาคธุรกิจการเงินไปจนถึงภาคการผลิตและค้าปลีกกล่าวว่า ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นและความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดเงิน อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อยอดส่งออกของบริษัท ญี่ปุ่นได้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยมานานในช่วงปี 2533 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการส่งออก แต่อัตราการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงลดลง ท่ามกลางจำนวนประชากรและค่าแรงที่ลดลง ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อยอดส่งออก เพราะทำให้สินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นมีราคาถูกลง และสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้น้อย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 2 โดยลดลงต่ำกว่าระดับ 100 เยนเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ 10% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ธุรกิจต่างๆ ในสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกได้ชะลอตัวลง ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 61% กล่าวว่า การดำเนินกิจการของบริษัทในสหรัฐอาจทรงตัว แต่ในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน "เรากำลังเดินหน้าขยายการดำเนินธุรกิจทั่วโลก แต่ก็มีความวิตกกังวลว่าผลประกอบการในบริษัทสาขาของเราในต่างประเทศอาจจะลดลง เพราะอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนอย่างหนัก" คาซูยาสุ คาโต้ ประธานบริษัทคิริน โฮลดิ้งส์ โค อิงค์ กล่าว นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังระบุอีกว่า บรรดาผู้บริหารบริษัทยังวิตกว่า ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงอาจจะแพร่ขยายไปยังตลาดเกิดใหม่ต่างๆ 14% ของบริษัทซึ่งรวมถึงบริษัทมิตซูบิชิ เฮวี่ อินดัสทรีย์ ลิมิเต็ดดล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะปรับเปลี่ยนกลยุทธทางธุรกิจ สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน