CIMBT ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 65 เหลือ 3.1% คาดเงินเฟ้อ Q2 พุ่งสูงเฉียด 5%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 7, 2022 13:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

CIMBT ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 65 เหลือ 3.1% คาดเงินเฟ้อ Q2 พุ่งสูงเฉียด 5%

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯ ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลงจาก 3.8% เหลือ 3.1% หลังจากที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 1.6% ในปี 64 ด้วยปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าตั้งแต่ต้นปี โดยเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญความผันผวนจากความไม่แน่นอน ทั้งจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ทำให้ราคาเนื้อสัตว์และไข่ไก่แพง และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่นำไปสู่ปัญหาราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความกังวลต่อการเร่งขึ้นของเงินเฟ้อทั่วโลกไม่แค่เฉพาะประเทศไทย

CIMBT ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 65 เหลือ 3.1% คาดเงินเฟ้อ Q2 พุ่งสูงเฉียด 5%

นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมทั้งเอเชียเผชิญความเสี่ยงของการออกมาตรการควบคุมกฎระเบียบต่อบริษัทจีน และการกลับมาออกมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดอีกครั้งในประเทศจีน โดยรวมปัจจัยเหล่านี้น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมทั้งการลดงบดุลเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ที่จะยิ่งทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนชะลอต่อเนื่องได้ในปีนี้

สำนักวิจัยฯ ได้คาดการณ์ GDP ไทยไว้ 4 ไตรมาส คือ ในช่วงไตรมาส 1 ขยายตัวอยู่ที่ 1.5% ไตรมาส 2 ขยายตัวที่ 2.3% ไตรมาส 3 ขยายตัวที่ 4.5% และไตรมาส 4 ขยายตัวที่ 4.1% อย่างไรก็ดี มองว่าถึงแม้ไทยจะประสบกับปัจจัยเสี่ยงมากกว่านี้ จะเห็นการบริโภคที่ลดลง แต่ GDP จะไม่ถึงขั้นติดลบแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม แม้โลกเต็มไปด้วยความผันผวน แต่เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/65 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน หลังเผชิญปัญหาโควิด-19 โดยต้นปีนี้ การส่งออกยังคงขยายตัวโดดเด่น แม้มีปัญหาค่าระวางเรือสูง การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และปัญหาการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่กระทบภาคการผลิตกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ แต่เศรษฐกิจประเทศสำคัญยังมีความต้องการสินค้าที่สูง แม้อาจไม่ได้เร่งแรงเหมือนปีก่อน ตามปัญหาเงินเฟ้อในแต่ละประเทศที่กดดันการบริโภคและการลงทุน อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในหลายประเทศยังเติบโตได้สูงกว่าศักยภาพ ซึ่งเป็นผลดีต่อการส่งออกไทยในปีนี้

นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนของไทยช่วงไตรมาส 1/65 ยังน่าจะประคองตัวได้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อระดับกลางถึงบนที่มีความเชื่อมั่นและความมั่นคงทางการเงิน ตลอดจนมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนการบริโภคผ่านการลดหย่อนภาษี น่าจะช่วยให้การใช้จ่ายไม่ได้ชะลอแม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสูง อีกทั้งรัฐได้มีมาตรการประคองกำลังซื้อผ่านมาตรการคนละครึ่ง ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในหมวดอาหารและเครื่องดื่มได้บ้าง

ส่วนการท่องเที่ยวยังไม่ได้ฟื้นตัวมากนักในช่วงไตรมาสแรก เนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนได้ทำให้รัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดในการรับชาวต่างชาติเข้าประเทศ รวมถึงความเชื่อมั่นนักเดินทางที่ลดลงจากปัญหารัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะเมื่อค่าเงินของรัสเซียอ่อนค่าลงแรง ก็กระทบความสามารถในการใช้จ่ายของคนรัสเซีย และมีผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

สำหรับในช่วงไตรมาส 2/65 เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก โดยคาดว่า GDP ไทยในช่วงไตรมาส 2/65 จะขยายตัว 2.3% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) หรือ 0.8% เทียบไตรมาสต่อไตรมาสหลังปรับฤดูกาล โดยสำนักวิจัยฯ ตั้งข้อสังเกตของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2/65 ไว้ดังนี้

  • การท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้น เมื่อความเชื่อมั่นฟื้นตัว และเชื่อว่าคนสามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้ การท่องเที่ยวน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะยังสูงกว่า 1 หมื่นราย/วัน แต่เมื่อได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากพอ และอาการไม่รุนแรง รัฐบาลไม่น่าจะกลับมาล็อกดาวน์อีก และพร้อมเดินหน้าเปิดประเทศและลดข้อจำกัดต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวจากต่างชาติและคนไทยในประเทศ

อย่างไรก็ดี ไม่คาดหวังว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 2/65 จะมากกว่า 5 แสนราย เนื่องจากไม่ได้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวในฝั่งตะวันตก จีนยังไม่เปิดประเทศ และปัญหาค่าเงินรัสเซียอ่อนค่า ดังนั้น น่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียลดลง

"ในส่วนของการท่องเที่ยวของทั้งปี 65 มองว่าน่าจะต่ำกว่า 3 ล้านคน จากเดิมที่เคยมองไว้ว่า 5 ล้านคน เนื่องจาก จีนยังคงมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ และการเดินทาง นักท่องเที่ยวจากรัสเซียหายไป อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 4/65 นักท่องเที่ยวจากฝั่งยุโรป และอาเซียนน่าจะเข้ามามากขึ้น โดยอาจทะลุ 1 ล้านคน" นายอมรเทพ กล่าว

นายอมรเทพ กล่าวถึงสถานการณ์ช่วงหลังสงกรานต์ คาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มสูงขึ้นหากรวมการตรวจแบบ Antigen Test Kit (ATK) อาจทะลุถึง 5 หมื่นราย/วันได้ แต่มองว่าสถานการณ์จะไม่ถึงขั้นที่รัฐต้องสั่งล็อกดาวน์ อย่างไรก็ดี ยังต้องกังวลจำนวนผู้เสียชีวิตต่อวันที่ยังอยู่ในระดับสูง ถึงแม้จะไม่เท่ากับปีที่แล้ว เพราะประชาชนมีการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์แล้วก็ตาม

  • รายได้ภาคเกษตรดีขึ้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตที่ออกมามากขึ้นตามระดับน้ำในเขื่อนที่มากกว่าปีก่อน ตลอดจนราคาสินค้าเกษตรที่โดยมากมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน ส่งผลให้รายได้จากการปลูกข้าว ยางพารา ปาล์ม อ้อย และมันสำปะหลังดีขึ้น ขณะเดียวกัน น่าจะเป็นผลดีต่อยอดขายรถมอเตอร์ไซด์ วัสดุการเกษตร และสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไป

อย่างไรก็ดี เนื่องจากรายได้ภาคเกษตรตกต่ำเป็นเวลานาน หนี้ครัวเรือนสูง อาจทำให้เงินไหลเวียนในระบบมีไม่มาก ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนโดยรวม น่าจะแผ่วจากรายได้นอกภาคเกษตรที่โตช้า ค่าครองชีพที่ทะยานขึ้นสูง และจากมาตรการเงินโอนจากรัฐบาลที่เริ่มสิ้นสุดลง

สำหรับสินค้าที่พอประคองไปได้น่าจะเป็นกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แต่กลุ่มเสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์น่าจะชะลอตัว ส่วนร้านอาหารอาจได้รับผลกระทบจากราคาอาหารที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่กลุ่มโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยว ยังเผชิญความท้าทายจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังต่ำ แต่น่าจะขยายตัวได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจโรงพยาบาลและกลุ่มสุขภาพ น่าจะขยายตัวได้ดีตามความต้องการป้องกันและรักษาสุขภาพในช่วงโควิดนี้

  • การส่งออกยังขยายตัวในช่วงไตรมาส 2/65 แม้อาจชะลอไปบ้างจากไตรมาสแรก แต่ด้วยการส่งออกสินค้าเกษตร ปิโตรเคมี และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ราคาขยับขึ้นตามราคาน้ำมันน่าจะพยุงการส่งออกได้ อีกทั้งการส่งออกสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน และกลุ่มอาหารแปรรูปที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันและตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอาเซียนยังคงเติบโตได้

นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าจะยังคงพยุงรายได้จากการส่งออกได้ แต่ที่น่ากังวลน่าจะเป็นกลุ่มผู้นำเข้า เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกดดันให้ไทยขาดดุลการค้าได้ในปีนี้ นอกจากนี้ กลุ่มที่มีสัดส่วนการนำเข้าเพื่อการผลิตที่สูงและตลาดส่วนใหญ่ อยู่ในประเทศอาจได้รับผลกระทบแรงกว่ากลุ่มที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อผลิตสินค้าเพื่อส่งออก

"การส่งออกในไตรมาส 2/65 ยังโตต่อเนื่อง แต่ไม่แรงมากนักอยู่ที่ราว 5-8% ถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอการฟื้นตัว แต่เศรษฐกิจโลก อย่างสหรัฐฯ หรือจีน ยังเติบโตเหนือศักยภาพ ซึ่งส่งผลดีต่อไทย" นายอมรเทพ กล่าว
  • การใช้จ่ายภาครัฐแผ่ว แม้มีมาตรการพยุงกำลังซื้อ แต่อาจมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ จึงทำให้ไม่สามารถครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงได้ทั้งหมด และอาจส่งผลให้กำลังซื้อของคนรายได้น้อยอ่อนแอลง โดยมาตรการพยุงค่าครองชีพที่ออกมา แม้มีส่วนช่วยให้คนสามารถใช้น้ำมันดีเซลในราคาถูก ลดต้นทุนการขนส่ง แต่ก็อาจบิดเบือนกลไกตลาด และอาจทำให้ไทยขาดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในระยะยาว ซึ่งอาจเห็นการแยกคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อกันไม่ให้ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณที่จำกัด
"โดยสรุปการใช้จ่ายภาครัฐในปีนี้ที่ลดลงจากปีก่อน จึงน่าจะไม่ใช่พระเอกในไตรมาส 2/65 โดยปีนี้ยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากเท่ากับปีที่แล้ว" นายอมรเทพ กล่าว
  • เอกชนอาจยังรอลงทุนโครงการใหม่ โดยเฉพาะหากมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของรัฐบาล และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เนื่องจากไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเลือกตั้งผู้แทนราษฎร และกำลังจะเปลี่ยนรัฐบาลในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยการเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้งจะเป็นกลไกสากลตามระบอบประชาธิปไตย และหากรัฐบาลปัจจุบันสร้างความชัดเจนว่า นโยบายการลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ใครเข้ามาบริหารประเทศต่อก็ตาม ก็จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นที่หมายตาของนักลงทุนต่างชาติที่อยากย้ายฐานการผลิตจากจีน เพื่อเลี่ยงการล็อกดาวน์จากปัญหาโควิด และการย้ายฐานเพื่อเลี่ยงปัญหาสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
"สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนั้น คาดว่าจะสามารถแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากมีกิจกรรม และระยะเวลาที่น้อย ต้องจับตาการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ที่คาดว่าจะสร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้มากกว่าครั้งนี้" นายอมรเทพ กล่าว

ด้านค่าเงินบาท มีโอกาสอ่อนค่าแตะระดับ 34.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จากความกังวลในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกตามปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูง ซึ่งมีผลให้ไทยขาดดุลการค้า ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ค่าขนส่งสินค้าแพงขึ้น อีกทั้งจะมีเงินโอนจ่ายเงินปันผลไปต่างประเทศช่วงไตรมาส 2/65 ที่มาก ทำให้ไทยขาดดุลบัญชีบริการและรายได้

ประกอบกับในช่วงไตรมาส 2/65 นี้ ทางเฟดน่าจะขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และยิ่งจะส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทย ที่ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯ จะกว้างขึ้นเร็ว ทั้งนี้ เชื่อว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลังและแตะระดับ 33.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ในช่วงปลายปี จากปัจจัยความเชื่อมั่นที่มีมากขึ้นในตลาดทุนโลก หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และตลาดทุนรับรู้ข่าวนี้ไปในช่วงไตรมาส 2/65 แล้ว

ขณะที่ไทยจะเริ่มมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่มากขึ้น ราคาน้ำมันเริ่มปรับย่อลง หลังมีการเพิ่มกำลังการผลิตจากฝั่งโอเปกที่มากพอจะทันอุปสงค์น้ำมันที่ปรับขึ้นก่อนหน้า และจากการคาดการณ์ว่าแบงก์ชาติจะเริ่มขยับดอกเบี้ยขึ้นได้หลังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ซึ่งน่าจะดึงดูดนักลงทุนให้กลับเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาทที่จะแข็งค่าได้ต่อเนื่องในปีหน้า

ด้านอัตราดอกเบี้ย ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ต่อปีตลอดทั้งปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/65 ที่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำจากการขาดรายได้การท่องเที่ยว อีกทั้งเงินเฟ้อที่เร่งแรงในช่วงไตรมาส 2/65 มาจากปัญหาด้านอุปทานคือราคาน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่เงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ยังอ่อนแอดัง โดยจะเห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานยังต่ำ

อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเผชิญแรงกดดันหนักต่อการขยับดอกเบี้ยขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะเมื่ออัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่ากรอบเป้าหมายลากยาว โดยมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และลดแรงกดดันต่อเงินบาทที่อ่อนค่า

ทั้งนี้ เชื่อว่าหากมาตรการภาครัฐที่ออกมาไม่มากเช่นนี้ ทาง กนง. น่าจะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเร่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถกลับไปสูงกว่าระดับก่อนโควิดได้จนถึงต้นปีหน้า โดยมองว่าทาง ธปท. น่าจะหามาตรการอื่นนอกจากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและเสถียรภาพของตลาดการเงิน ขณะที่ภาครัฐน่าจะมีบทบาทมากขึ้น ในการดูแลค่าครองชีพต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง

นายอมรเทพ กล่าวว่า คาดอัตราเงินเฟ้อช่วงไตรมาส 2/65 อาจเฉียดระดับ 5% และทั้งปีอยู่ที่ 4.5% จากสมมติฐานราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่จะถึงจุดสูงสุดที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในช่วงไตรมาส 2/65 ก่อนปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลังและเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล

"สงครามรัสเซีย และยูเครนว่า เชื่อว่าจะไม่ยืดเยื้อ รัสเซียน่าจะถอนกำลัง และอาจมีมาตรการเพื่อให้ยูเครนเป็นกลาง อย่างไรก็ดี หากเกิดกรณีที่รัสเซียยกเลิกการขายพลังงาน ราคาน้ำมันอาจพุ่งแตะถึง 150-200 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วโลกอาจทะลุสูงขึ้นไปอีก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจไทยชะลอได้" นายอมรเทพ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ