
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน เม.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 40.7 ลดลงจากเดือน มี.ค.65 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.0 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 34.6, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 38.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 49.6
สำหรับปัจจัยลบ ได้แก่

- ความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการต่างๆ
- ความกังวลต่อสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกให้ช้าลงหรือชะลอตัวลง และอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต
- ปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้ายังทรงตัวในระดับสูง
- ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 65 มาที่ 3.5% จากเดิมคาด 4.0%
- ตลาดหุ้นไทย เดือนเม.ย.ปรับตัวลดลง 27.80 จุด
- เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับ 33.252 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน มี.ค. 65 เป็น 33.821 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนเม.ย. 65 สะท้อนว่ามีการไหลออกสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่
- ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยยกเลิก Test&Go ปรับมาใช้การลงทะเบียนผ่าน Thailand Pass ซึ่งจะเป็นผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยวของไทย
- การฉีดวัคซีนของทั่วโลกทำให้สถานการณ์โควิด-19 ในระดับโลกปรับตัวดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและคลายความวิตกกังวล รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- การส่งออก-นำเข้าของไทยเดือน มี.ค.65 ขยายตัวต่อเนื่อง
- ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวในระดับที่ดี โดยเฉพาะ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น
นายธนวรรธน์ ระบุว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนเม.ย.65 นี้ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และต่ำสุดในรอบ 8 เดือน สัญญาณความเชื่อมั่นไม่ค่อยดี และยังไม่เห็นแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งความเชื่อมั่นที่ลดลงนี้มีผลจากปัญหาค่าครองชีพเป็นหลัก และราคาน้ำมัน ตลอดจนราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่าในปัจจุบันเศรษฐกิจยังไม่มีภาพของการฟื้นตัว และเมื่อมองไปในอนาคต ผู้บริโภคมองว่าเศรษฐกิจจะยังซึมตัวต่อเนื่อง
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคถูกบั่นทอนจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และถูกเจือด้วยสถานการณ์โอมิครอน แต่สถานการณ์โอมิครอนจะเริ่มคลายตัวตั้งแต่ พ.ค., มิ.ย. เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อจะเริ่มลดลง แต่สถานการณ์จากค่าครองชีพจะเริ่มสูงขึ้น จากราคาน้ำมันแพง เพดานราคาน้ำมันอยู่ที่ 35 บาท/ลิตร หมายความว่าเดือนพ.ค. โอกาสที่จะเจอราคาน้ำมันจากลิตรละ 32 บาท เป็น 35 บาท ส่วนราคาเบนซิน แก๊สโซฮอล์ที่ระดับ 40 บาท/ลิตร จะเป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของผู้บริโภค ซึ่งจะเริ่มเห็นสัญญาณเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่ ส.ค. 64 ซึ่งอีกเพียงนิดเดียวจะทำลายสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นั่นหมายความว่า ถ้าความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่ดีขึ้นในช่วง 1-3 เดือนจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจในปี 2541 หรือต่ำสุดในรอบ 24 ปี
"ภาพการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะเริ่มชะลอตัวลง ความเหมาะสมในการซื้อรถ ซื้อบ้าน และค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว จะเริ่มลดน้อยถอยลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เข้าสู่ยุคของข้าวของแพง และคนงดการจับจ่ายใช้สอย" นายธนวรรธน์ กล่าวทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย สนับสนุนให้รัฐบาลดูแลราคาพลังงาน และค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งการที่รัฐบาลเลือกตรึงราคาดีเซลไว้อีกสัปดาห์ เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน เพราะราคาน้ำมันโลกตอนนี้เป็น sideway และอาจเป็น sideway down เพราะคนกังวลการล็อกดาวน์ของจีน และการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งจะกดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
"ราคาน้ำมันโลก อาจจะไม่ได้กดดันให้ราคาน้ำมันในไทยต้องขึ้นไปมาก แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ต้องขึ้น เพราะตอนนี้ราคาห่างจากจุดสมดุลไปมาก โดยเฉพาะราคาดีเซล แต่หากประคองให้ขึ้นช้าได้ จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ" นายธนวรรธน์ กล่าวพร้อมมองว่า การที่ราคาน้ำมันยังนิ่งตอนนี้ เป็นเพราะจีนล็อกดาวน์ ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง และมาจากการที่สหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นทั่วโลกซึมตัว มีผลให้ในอนาคตกำลังซื้อของประชาชนชะลอตัว ความมั่งคั่งลดน้อยลง คนจับจ่ายน้อยลง ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในด้านการส่งออกที่เสี่ยงจะเติบโตได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
"ม.หอการค้าไทย สนับสนุนให้มีคนละครึ่ง เฟส 5 ในเดือนมิ.ย. ถ้าสามารถทำได้ เพื่อจะทำให้มีกำลังซื้อ อย่างน้อยถ้ารัฐให้คนละ 1,000 บาท ก็จะมีกำลังซื้อเกิดขึ้นฝั่งละ 30,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยพยุงสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูง และเศรษฐกิจที่นิ่งๆ ซึมๆ รวมทั้งหากให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นในเดือน ก.ค. เปิดโอกาสให้กลุ่มธุรกิจกลางคืนกลับมาเปิดได้ปกติ รวมๆ แล้วน่าจะมีเม็ดเงินสะพัดได้เป็นแสนล้านบาทต่อเดือน มีจ้างงานได้อีกเป็นล้านคน ใน supply chain ของธุรกิจกลางคืนทั่วประเทศ" นายธนวรรธน์ ระบุนายธนวรรธน์ กล่าวด้วยว่า การใช้มาตรการของภาครัฐเข้ามาช่วยพยุงสถานการณ์เศรษฐกิจ เช่น การขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล การดำเนินโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ในช่วงเดือนมิ.ย. การรณรงค์ให้คนไทยเที่ยวภายในประเทศ ในขณะที่กำลังซื้อจากต่างประเทศยังไม่เข้ามาเต็มที่ รวมทั้งเปิดให้กลุ่มธุรกิจกลางคืนกลับมาเปิดได้ปกติ จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียง 3.5% แต่หากไม่มีการพยุงราคาน้ำมัน ก็จะทำให้กำลังซื้อหายไปอย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือน และทำให้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า 3%
"ถ้าภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลถูกผลักขึ้นไป 3 บาทต่อลิตร จะทำให้ราคาน้ำมันใกล้ระดับ 38-40 บาท ซึ่งเราหนุนให้ขยายเวลาลดภาษีอีก 1 เดือน ที่เป็นรอยต่อก่อนที่โครงการคนละครึ่งเฟส 5 จะออกมา เพราะราคาน้ำมันที่ถูกยันไว้ที่ 35 บาทต่อลิตร ถ้าทำได้เศรษฐกิจไทยพร้อมโต 3-3.5% เพราะช่วยเติมกำลังซื้อ แต่ถ้าไม่ต่อ กำลังซื้อจะหายไปอย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือน เพราะน้ำมันแพงขึ้นทันที 3 บาท/ลิตร ถ้าลดภาษีลงได้ 1.50 - 3 บาท/ลิตร จะช่วยดูแลเศรษฐกิจระยะสั้นได้ระดับหนึ่ง" นายธนวรรธน์ กล่าว