นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เสนอแนวทางการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อดูแลเรื่องหมูทั้งระบบ เพราะขณะนี้กระทรวงพาณิชย์จะดูแลราคาแค่ปลายทาง โดยมีข้อมูลจากหมูเป็นจนถึงหมูชำแหละ และเน้นการดูแลราคาเพื่อผู้บริโภคเป็นส่วนใหญ่ แต่ขาดข้อมูลต้นทางหรือราคาลูกหมู พันธุ์หมู ทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการหรือแก้ไขปัญหาหมูได้อย่างครบวงจร
ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า แม้กระทรวงพาณิชย์จะประกาศให้หมูเป็นสินค้าควบคุม แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่เคยกำหนดราคาขาย เพียงแค่ให้ปิดป้ายแสดงราคาและส่วนใหญ่เป็นการดูแลราคาที่ปลายทางก่อนหมูจะถึงมือผู้บริโภค แต่จากนี้ไปกระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปดูแลราคาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยจะเข้าไปดู 2 ช่วง คือ จากลูกหมูมาถึงหมูเป็น และจากหมูเป็นมาเป็นหมูชำแหละ ซึ่งจะทำให้ราคาเป็นธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบรวมถึงผู้บริโภคด้วย
ปัจจุบันราคาพันธุ์หมูหรือราคาลูกหมูเพิ่มขึ้นมาก โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ตัวละ 1,800 บาท จากปีก่อนตัวละ 800-900 บาท ซึ่งราคาดังกล่าวผู้ผลิตลูกหมูกำหนดกันเอง โดยที่ทางการไม่ทราบที่มาของการคำนวณว่ามาจากต้นทุนใดบ้าง และเป็นราคาที่เป็นธรรมกับเกษตรกรหรือไม่
พรุ่งนี้(19 มี.ค.) คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ(กกร.) ที่มีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานจะประชุมเพื่อพิจารณามาตรการควบคุมเพิ่มเติมสำหรับสินค้าหมู โดยจะเสนอให้ต้องขออนุญาตในการเคลื่อนย้ายหมูใน 26 จังหวัดติดชายแดน หลังจากที่มีการลักลอบส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ซึ่งมาตรการนี้จะเป็นมาตรการชั่วคราว และจะยกเลิกเมื่อปริมาณหมูเข้าสู่ภาวะปกติ
นายยรรยง ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาอาหารสัตว์ราคาแพงว่า ได้ขอให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไปหารือกับสมาชิกว่าหากรัฐบาลลดราคากากถั่วเหลืองลงแล้ว ผู้ผลิตจะยอมลดราคาอาหารสัตว์ได้จริงหรือไม่ และจะลดลงเท่าไร โดยขอให้ส่งคำตอบมายังกรมสัปดาห์นี้ พร้อมกันนี้กรมฯ จะศึกษาต้นทุนของผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองว่า หากลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองจริงจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองบรรจุขวดอย่างไร หลังจากนั้นจะสรุปข้อดีข้อเสียของการลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองเสนอนายมิ่งขวัญ ให้พิจารณาต่อไป