(แก้ไข) ธปท.ปล่อยเงินบาทตามกลไกตลาดมีโอกาสพลิกมาแข็งค่า,ย้ำเข้าช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 8, 2022 15:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้จะยังคงปล่อยให้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นไปตามกลไกของตลาดเป็นหลัก และอยู่ในทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นทั่วโลก ซึ่งแม้จะอ่อนค่าลงมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้

การอ่อนค่าลงของเงินบาทในขณะนี้เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากเงินดอลล่าร์ที่แข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันผวนของค่าเงินทั่วโลก โดยตั้งแต่ต้นปีพบว่าเงินดอลล่าร์แข็งค่าไปแล้ว 11.3% ขณะที่เงินสกุลต่าง ๆ อ่อนค่าทุบสถิติ เช่น เงินยูโรที่อ่อนค่าในรอบ 20 ปี

ส่วนเงินบาทของไทยอ่อนค่าอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค โดยจากข้อมูลล่าสุดตั้งแต่ต้นปีพบว่า เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 7.6% ซึ่งมาจากปัจจัยเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น รวมถึงความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเข้ามากดดันเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายในประเทศที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน

แนวทางในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท.ในขณะนี้จะยังคงปล่อยให้การเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกของตลาดเป็นหลัก เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวสะท้อนราคาทุกอย่าง ดังนั้น ธปท.ไม่สามารถบอกได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรจะอยู่ที่ระดับใดระดับหนึ่ง และการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ระดับระดับหนึ่งอาจก่อให้เกิดการสะสมความเสี่ยงที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว

"ธปท. ไม่ได้มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับใดในใจ ยังคงปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเป็นหลัก แต่ถ้าหากมีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมากผิดปกติ ธปท.จะเข้าไปดูแล เราแทรกแซงเรื่องความผันผวน แต่เราไม่แทรกแซงเรื่องระดับของค่าเงินบาท เรามีแนวทางในการดูแลอยู่แล้วว่าจะเข้าไปในช่วงไหน ตอนไหน แต่เราไม่เคยกำหนดว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรจะอยู่ที่ระดับไหน ธปท. เน้นดูความผันผวนมากกว่า ถ้าผันผวนมากกว่าปกติจึงจะเข้าไปดูแล มองไปข้างหน้าทุกอย่างยังมีความเสี่ยง อ่อนได้ก็แข็งได้ แต่บาทที่อ่อนค่าในขณะนี้ยังเป็นผลมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก" นางดารณี กล่าว

นางสาวดารณี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นการไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างชาติทีผิดปกติ และตั้งแต่ต้นปี ถึง 5 ก.ค.65 เงินทุนยังเป็นบวกสุทธิที่ 9.7 หมื่นล้านบาท โดยในตลาดทุนเป็นบวก 1.04 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดพันธบัตรไหลออกราว 7 พันล้านบาท ส่วนในระยะข้างหน้า เชื่อว่าตลาดมีการคาดการณ์อยู่แล้ว หากไม่มีปัจจัยใหม่เพิ่มเติมเข้ามา ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์

ขณะที่ ธปท. ยืนยันว่ายังไม่มีมาตรการในการควบคุมเงินทุนไหลออก เพราะเชื่อว่าการปล่อยให้ตลาดเคลื่อนไหวเสรีเป็นกลไกที่ดี แต่มาตรการในการดูแลยังต้องมี ซึ่งถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มีวิกฤติก็ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้

นางสาวดารณี ยังกล่าวว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยมีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงมาก ที่ 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ อันดับที่ 12 ของโลก ถ้าเทียบเงินสำรองต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) มีสัดส่วนสูงถึง 52% คิดเป็นอันดับ 6 ของโลก และหากเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น เงินสำรองอยู่ที่ 335% หรือคิดเป็น 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น

นางสาวณชา อนันต์โชติกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือน มิ.ย.65 ที่ระดับ 7.66% น่าจะยังไม่ใช่ระดับสูงสุด โดยคาดว่าในอีก 2 เดือนข้างหน้าอาจจะได้เห็นตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่านี้ มีโอกาสแตะ 8% แต่เงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าระดับราคาสินค้าจะต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน เพราะเป็นตัวเลขที่เทียบกับฐานปีก่อนที่อยู่ในระดับต่ำ หากไม่มีสถานการณ์รุนแรงใด ๆ เพิ่มเติม ปัญหาเงินเฟ้อสูงก็น่าจะทยอยหายไปเอง

ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่าในขณะนี้ยังไม่ส่งผ่านมายังราคาสินค้าและบริการในทันที แต่จากการศึกษาพบว่า หากเงินบาทอ่อนค่ายาวกว่าที่ประเมิน อาจส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการมากกว่าในอดีต

"ธปท. คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีแรงบวกกลับเข้ามาที่ทำให้บาทไม่อ่อนมากกว่านี้ หรือกลับมาแข็งขึ้นด้วยซ้ำ หากท่องเที่ยวกลับมา ราคาน้ำมันไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าขนส่ง ค่าระวางการส่งสินค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะติดลบประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ แต่เราเริ่มเห็นความคลี่คลายว่าตัวซัพพลายคลี่คลาย ทำให้ค่าขนส่ง ค่าระวางการส่งสินค้าระหว่างประเทศเริ่มปรับลดลง และหากท่องเที่ยวกลับมา ราคาน้ำมันไม่สูง ก็จะช่วยให้ดุลเดินฯ เป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลังหรือต้นปีหน้าที่ 5 พันล้านดอลลาร์" นางสาวณชา กล่าว

นางสาวณชา กล่าวอีกว่า นโยบายการเงินขณะนี้จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ และเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้การดำเนินนโยบายการเงินจะให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ล่าสุดปัจจัยต่าง ๆ เปลี่ยนไป เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้น มองไปในระยะข้างหน้าก็เห็นแนวโน้มการส่งผ่านการฟื้นตัวที่ชัดเจน จึงต้องให้น้ำหนักกับอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยแตกต่างจากสหรัฐ และไทยก็ไม่ได้ใช้นโยบายกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ทำให้มีอิสระในการทำนโยบายการเงิน

ทั้งนี้ การทำนโยบายการเงินจะต้องดูเป้าหมาย 3 เรื่อง ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยเงินเฟ้อจะมีเป้าหมายในระยะปานกลาง แม้ว่าในระยะสั้นจะสูงกว่ากรอบ แต่ในระยะปานกลางและระยะยาวยังต้องติดตามเครื่องชี้หลายอย่าง การทำนโยบายการเงินจะต้องมุ่งให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้ามาอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2% ในระยะ 5-10 ปี และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะยังไม่มีการส่งผ่านไปยังเงินเฟ้อในระยะสั้น แต่เป็นการยึดเหนี่ยวไม่ให้เงินเฟ้อไปไกลกว่าที่คาดการณ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ