กสิกรฯ คาดกำไรแบงก์ Q2/65 ลดลง 19.6% จาก Q2/64 หลังรายได้ธุรกิจหลักยังหดตัว

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 15, 2022 14:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบธ.พ. ไทย 18 แห่ง) ในไตรมาส 2/65 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.61 หมื่นล้านบาท ลดลง 19.6% เมื่อเทียบกับฐานที่สูงในไตรมาสที่ 2/64 ซึ่งมีการบันทึกรายการพิเศษกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัทย่อยของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง

ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้จากธุรกิจหลักของระบบธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 2/65 ยังคงอ่อนแอ โดยเฉพาะรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งถูกกดดันจากความเปราะบางของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ โดยรายได้ค่าธรรมเนียมมีโอกาสหดตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งคาดการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมหดตัว 5.3% YoY ในไตรมาสที่ 2/65 นำโดย รายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนและบริการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน

นอกจากนี้ความผันผวนของตลาดทุนที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างไตรมาส ยังมีผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนและการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินจากการ Mark to Market ด้วยเช่นกัน ส่วนรายได้ดอกเบียสุทธินั้น อาจขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยตามการเติบโตของสินเชื่อ โดยคาดการณ์สินเชื่อไตรมาส 2/65 เติบโตในกรอบ 5.7-6.0% YoY นำโดย สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งส่งผลทำให้อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) มีแนวโน้มขยับขึ้นมาที่ 2.58% ในไตรมาสที่ 2/65 จาก 2.55% ในไตรมาสแรกของปี

ส่วนภาพในอีกด้านหนึ่งสะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์มีการเข้าดูแลประเด็นคุณภาพสินทรัพยในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเร่งเข้าจัดการปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ทั้งการขาย NPLs การตัดหนี้สูญ และการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ ซึ่งช่วยส่งผลทำให้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL Ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2/65 ทรงตัวอยู่ในกรอบ 2.90-2.93% ต่อสินเชื่อรวม ใกล้เคียงระดับ 2.93% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/65 ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองฯต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อาจชะลอลงมาที่ 1.20% ในไตรมาสที่ 2/65 จาก 1.45% ในช่วงเดียวกันปีก่อน

อย่างไรก็ดีคงต้องติดตามสัญญาณการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อในพอร์ต SMEs และรายย่อย อาทิ สินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันอย่างใกล้ชิด

สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 65 คาดว่า แรงหนุนจากสัญญาณเศรษฐกิจจะช่วยหนุนให้มีการเบิกใช้สินเชื่อต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และจะทำให้แรงกดดันต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ในส่วนอื่นๆคลายตัวลงบางส่วน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับตัวเลขคาดการณ์สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 65 มาที่ 5.0% (กรอบคาดการณ์ใหม่ที่ 4.0-5.5%)

ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องนั้น นอกจากจะมีอานิสงส์จากสัญญาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมแล้ว ยังมีแรงหนุนในส่วนของสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน หรือ Working Capital ที่เพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบและต้นทุนอื่นๆ ในการผลิตสินค้าและบริการ แต่สินเชื่อรายย่อยอาจเผชิญข้อจำกัดการเติบโตตามสถานะที่เปราะบางของภาคครัวเรือนไทย ซึ่งคาดการณ์สินเชื่อธุรกิจเติบโตในกรอบ 5.0-6.5% ชะลอลงเมื่อเทียบกับฐานที่สูงในปี 64 ที่เติบโต 7.8% ขณะที่สินเชื่อรายย่อยอาจขยายตัวราว 3.0-4.0% ทรงตัวเมื่อเทียบกับ 4.0% ในปี 64

ด้านส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยยังอยู่กับจังหวะการปรับดอกเบี้ย โดยแม้วัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยอาจเริ่มขึ้นในรอบการประชุมเดือนส.ค. 65 เพื่อดูแลความเสี่ยงเงินเฟ้อ แต่ด้วยสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และปัญหาของลูกหนี้อีกจำนวนกว่า 1.6 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นสัดส่วนภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือราว 12.1% ของสินเชื่อรวม ที่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและยังไม่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่

ดังนั้นอาจทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะแรกของธนาคารพาณิชย์ปรากฏขึ้นในผลิตภัณฑ์สินเชื่อและเงินฝากเพียงบางประเภท เช่น เงินฝากประจำระยะยาวและสินเชื่อที่มีระยะเวลาการผ่อนค่อนข้างยาว อาทิ การยกเลิกแคมเปญดอกเบี้ยคงที่สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และการทยอยลดการแข่งขันด้านราคาในผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ขณะที่คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในระยะต่อไปคงขึ้นอยู่กับจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจ ตลอดจนการเตรียมรับมือกับการปรับอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) ในช่วงต้นปี 66

ขณะที่ภาพรวมของรายได้จากธุรกิจหลักในช่วงครึ่งหลังของปี 65 นั้น ด้วยข้อจำกัดในการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากธุรกิจใหม่ที่ยังต้องใช้เวลา ทำให้คาดว่าภาพรวมของกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนการกันสำรองฯ และภาษีเงินได้) ในปี 65 จะอยู่ในกรอบ 4.01-4.03 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่กลับไปสู่ระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปีก่อนวิกฤตโควิด-19 แม้จะเข้าใกล้มากขึ้นก็ตาม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ